อายตนนิพพานแท้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดังได้กล่าวแล้วว่า คำว่า " อายตนนิพพาน " ไม่เคยมีในพระพุทธศาสนามาก่อน อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้ คำนี้ให้ได้ ก็ไม่ใช่แปลว่าแดนนิพพาน หรือนิพพานที่เป็นคล้ายดินแดน แต่แปลว่า " ความดับเย็นแห่งอายตนะ " ดังกล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งทั้งได้ความหมายที่ถูกต้องตามหลักภาษา และสอดคล้องกับหลักการของพระพุทธ ศาสนา อายตนนิพพานตามหลักภาษา และในความหมายที่ถูกต้องอย่างนี้ เป็นภาวะที่ชีวิตและสังคมขณะนี้ กำลังต้องการอย่างยิ่ง คนจำนวนมากมีอายตนะ ตั้งแต่ ตา หู จนถึงใจ ที่เร่าร้อน ถูกรุนเร้าด้วยเพลิงราคะหรือไฟโลภะ ซึ่งทำ ให้ร่านรนจ้องมองหาแต่สิ่งเสพบำรุงบำเรอตน มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์มาสนองความเห็นแก่ตัว หาทางเอา รัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ คนมีอายตนะ ตา หู ฯลฯ ใจ ที่เร่าร้อนด้วยไฟโทสะ เพราะถูกขัดผลประโยชน์เป็นต้น แล้วขัดเคืองแค้น ใจ ทำให้คิด ประทุษร้ายผู้อื่น หาทางขัดขวางและใช้พลังอำนาจมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน คนมี ตา หู จนถึง ใจ ที่เร่าร้อนด้วยไฟโมหะ ถูกกดดันครอบงำด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจและไม่รู้จักแสวง ปัญญา ทำให้ต้องหาสิ่งปลอบประโลมกล่อมใจ ตลอดจนมอมเมาหลอกตัวเอง และหลอกกันเอง เพื่อช่วยให้ เพลิดเพลิน หลบทุกข์ ลืมปัญหา หรืออยู่่ด้วยความหวัง รอคอยผลดลบันดาลจากอำนาจยิ่งใหญ่หรือสิ่งลึกลับ ภายนอก ถ้าอายตนะ คือ ตา หู จนถึง จิตใจ ทั้งหมดนี้ ดับเย็นสงบลงได้ ไม่ถูกเปลวและควันแห่งไฟโลภะ โทสะ โมหะ เผาลนให้เร่าร้อนและกลุ้มรุมบดบังให้พร่ามัว ก็จะแจ่มใส สามารถใช้ปัญญาพิจารณาแก้ปัญหา และมอง เห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ที่แท้จริง แล้วทำการสร้างสรรค์ให้สำเร็จได้อย่างถูกต้อง อายตนะที่บริสุทธิ์แจ่มใส สงบเย็นจากไฟกิเลสและเพลิงทุกข์นั้น ก็จะมองดูเพื่อนร่วมโลก ด้วยความรู้ ความเข้าใจ มองเห็นสุขทุกข์ของเขา ทำให้เกิดเมตตากรุณาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นทางที่จะนำโลกนี้ไปสู่ สันติสุข ถ้าปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ให้อายตนะทั้งหลาย โดยเฉพาะใจ สงบเย็นจากไฟราคะ/โลภะ โทสะ และ โมหะ ได้อย่างนี้ จึงจะเข้าถึงอายตนะที่เป็นนิพพานได้ อายตนนิพพานชนิดเป็นแดน ที่ตัวตนของเราไปพบไปเฝ้าตัวตนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีในพระพุทธ ศาสนาอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นอายตนนิพพาน ที่เป็นภาวะดับเย็นของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่พ้นจากความ เผาลนของไฟราคะ/โลภะ โทสะ และโมหะแล้ว สว่างผ่องใสด้วยปัญญา และแผ่รังสีแห่งเมตตากรุณาต่อสรรพ สัตว์ ก็เป็นอายตนนิพพานแท้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ และอย่างนี้จึงจะเป็นนิพพานของพระพุทธเจ้า