เปิดบันทึกลับ คนใกล้ชิดธัมมชโย (ตอน 1)


[ Follow Ups ] [ Post Followup ] [ Sensitive Forum ] [ FAQ ]

Posted by สายลับวัดธรรมกาย on January 05, 1999 at 12:29:43:

บันทึกจุดกำเนิดและจุดจบวัดพระธรรมกาย

นับย้อนหลังไปในปี 2509 – 2510 สมัยนั้นเราเป็นนิสิตกันอยู่
ตอนนั้นได้ตัดสินใจไปศึกษาธรรมและฝึกสมาธิที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กับไชยบูลย์และเผด็จ นิสิตสถาบันเกษตร พวกเราได้พบกับแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง ไชยบูลย์บอกว่า แม่ชีจันทร์เป็นผู้ได้รับการฝึกอบรมและถ่ายทอดวิชาธรรมกายโดยตรงจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นศิษย์ก้นกุฏิที่เก่งที่สุดไม่มีใครเทียมได้ ขนาดหลวงพ่อวัดปากน้ำชมว่ามีความสามารถเป็นหนึ่งไม่มีสอง
ครั้งนั้น เราได้พบแล้วก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะดูจากบุคลิกแล้วเป็นคนกร้องแกร้ง ผิวคล้ำ กระด้างไม่นุ่มนวล ไม่มีลักษณะของนักปราชญ์หรือผู้ทรงศีลที่มีวิทยาการสูงดังที่กล่าวเลย แต่เราก็พยายามสลัดความรู้สึกเหล่านั้นให้ผ่านไปโดยปลอบตนเองว่าไม่เป็นไร คนมีบุคลิกไม่ดีอาจมีความรู้และคุณธรรมสูงได้ เราฝึกๆ ไปอีกหน่อยก็รู้เอง แล้วก็รู้จริงๆ ในที่สุด
ไชยบูลย์บอกว่า ตัวเองนั้นมีสมาธิจิตสูง สามารถรู้เห็นสิ่งแปลกๆ นอกเหนือจากมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย อาทิ สามารถเห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ หรือแม้กระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าและสามารถพูดจาจับมือถือแขนได้ จากการตั้งใจฝึกสมาธิอย่างจริงจังทำให้เราพบกับความสุข ความสงบที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย ทำให้เข้าใจสภาวะจิตและเข้าใจคุณค่าและประโยชน์ของพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งต่อมนุษย์ทุกเพศทุกวัย เป็นประโยชน์ทั้งชีวิตประจำวันและชีวิตในการดำรงอยู่ เป็นสิ่งจำเป็นและจะขาดเสียมิได้ เราเริ่มปรึกษาที่จะทำประโยชน์ให้แก่มหาชนโดยการร่วมกันเผยแพ่ธรรมที่เราได้เรียนรู้ให้แก่ผู้อื่นได้รับทราบเพื่อเป็นประโยชน์แก่เขาเหล่านั้น
ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่าจะบวชอุทิศชีวิตแก่พระศาสนา และช่วยกันสร้างองค์กรของพระพุทธศาสนาให้มีคุณภาพ ช่วยกันสร้างวัดที่เป็นวัดไม่เหมือนกันสภาวะวัดในสายตาที่เราเห็นว่าพระไม่ได้ช่วยชาวบ้านอย่างแท้จริง เราเห็นการที่พระเลือกปฏิบัติคือการต้อนรับเฉพาะคนรวย สังคมในวัดมีแต่การป้อยอ มีแต่การแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่เป็นไปเพื่อมวลประชาที่เดือดร้อน แต่เป็นไปเพื่อสังคมของกลุ่มคนรวยเท่านั้น
เราตกลงกันว่า เราจะต้อนรับประชาชนคนรวยคนจนอย่างเสมอภาค ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ (ปัจจุบันคนจนไม่มีสิทธิ) เราจะมักน้อยสันโดษ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ กิจการใดที่เกิดขึ้นเราจะปรึกษากันโดยเหตุและผล ใช้ธรรมาธิปไตย
เมื่อสร้างวัดที่เป็นวัด มีความสวยงาม เป็นธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว เราจะมุ่งการปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิอย่างเดียว ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เราจะผลัดเปลี่ยนกันออกมาสอนธรรมแก่ประชาชนเดือนละครั้ง เพื่อไม่ให้ประชาชนยึดติดในตัวบุคคล และเราก็จะไม่ติดผูกพันกับญาติโยมจนเกินไป
หากจะมีการเสนอให้ยศจากทางบ้านเมืองหรือจากพระผู้ใหญ่ก็ดี เราจะไม่รับยศนั้นๆ เราจะยอมเหนื่อยเต็มที่โดยเร่งสร้างวัดด้วยการทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และชีวิต เพื่อสร้างวัดให้เสร็จโดยเร็ว
เราจะหาเงินประมาณ 100 ล้านบาทไว้เป็นทุนในการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่ตนเองและมหาชนโดยไม่ต้องเรี่ยไรบอกบุญอีกเลย
เราได้ที่ดิน 196 ไร่เศษ จากการบริจาคของคุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี มารดาของอาจารย์วรณี สุนทรเวช ในครั้งนั้นไชยบูลย์บอกว่าที่ดินตั้ง 196 ไร่เศษนั้นมากเกินไป จริงๆ แล้วเราควรได้เพียง 50 ไร่ก็พอ แต่พระยามารสอดแทรกเข้ามาทำให้ได้ที่มากเกินความจำเป็น เพื่อให้พวกเราต้องมาทำงานหยาบและติดกับงานจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม
ครั้นพอสร้างวัดจบเสร็จ มีเงิน 100 ล้านตามที่ตั้งใจไว้ในราวปี 2524 คำพูดก็เปลี่ยนไป เป้าหมายก็เปลี่ยนไปด้วย เงิน 100 ล้านชักไม่พอเสียแล้ว จะต้องเป็น 500 ล้าน ที่ดินซึ่งเดิมบอกว่า 196 ไร่เศษนั้นมากไป กลับกลายเป็นว่า เราจะต้องมีที่ดินเป็นพันๆ หรือหมื่นๆ ไร่ แต่พระยามารแกล้งตัดทอนจนเหลือ 196 ไร่เศษ
ฉะนั้นเราจะต้องต่อสู้เอาที่ดินของเราคืนมาให้ได้ มีการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะทำให้ใครเดือดร้อนอย่างไรก็ตาม เป้าหมายจากเดิม 500 ล้านบาท ก็เปลี่ยนเป็น 1,000 ล้านบาท และไม่มีที่สิ้นสุด ที่ดินก็มีการบุกรุกป่า เบียดเบียนกว้านซื้อจากชาวบ้านเพื่อเอามาจัดสรรค์ การจัดการธุรกิจและนักธุรกิจเข้ามาผสมผเสจนสับสนไปหมด มีโครงการใหม่ๆ แปลกๆ ผุดขึ้นมาอย่างมากมาย
เมื่อได้รับเงินสนับสนุนมากๆ แล้วก็เปลี่ยนโครงการไปเรื่อยๆ ไม่เคยทำตามสัญญาเลย โครงการเหล่านั้นก็กลายเป็นวิมานในฝันไป
จากเดิมที่เราจะสร้างวัดที่เป็นวัดที่สงบสุข มักน้อย สันโดษ ก็กลายเป็น การสร้างวัดที่ประกอบด้วยความมักมาก ไม่มีที่สิ้นสุด สับสนวุ่นวาย ธุรกิจมากมายนับไม่ถ้วน ใช้มูลนิธิธรรมกายเป็นฉากกำบังธุรกิจและความประพฤติทั้งหมด
เจ้าอาวาสเป็นบุคคลที่ลึกลับ บางครั้งอยู่วัดเดือนละ 2 วัน ในวันอาทิตย์ต้นเดือนและวันงาน แล้วก็หลบหน้าหายไปบริหารธุรกิจนับไม่ถ้วน แสวงหาขุมทรัพย์ ทำเหมืองทอง แร่และเหมืองอัญมณี มีความสนิทสนมกับสีกาอี๊ดเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่สีกาอี๊ดออกมาประกาศว่ามีความสำคัญถึงขั้นเกิดมาเพื่อเป็นทุกอย่างของไชยบูลย์ มีอิทธิพลขนาดพระต้องเชื่อฟังคำสั่ง บางครั้งขณะไชยบูลย์สอนธรรมะอยู่ ถ้ารู้ว่าสีกามาเท่านั้นก็ละการสอนและทุกสิ่งทุกอย่างทันที เพื่อไปสนทนากับสีกาอี๊ดอย่างเดียว
เดิมเราเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า ไชยบูลย์เป็นผู้มีคุณธรรม มีสมาธิชั้นสูง สามารถรูเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เห็นได้ แต่จากการคลุกคลีกันหลายปีกลับพบว่า นั้นเป็นคำโกหกทั้งสิ้นๆ ไชยบูลย์ได้อาศัยเด็กๆ ไร้เดียงสามานั่งทำสมาธิแล้วเห็นนิมิตต่างๆ แล้วก็ใช้เด็กเหล่านั้นแหละเป็นเครื่องมือสร้างให้คนหลงศรัทธาโดยไม่มีการพิสูจน์
เวลามีญาติโยมที่รวยๆ มาให้ดูทางใน ไชยบูลย์จะขอวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟาก พร้อมนัดวันเวลามาฟังผลในวันต่อไป หลังจากโยมกลับไปแล้วก็จะเอาวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก ไปให้หมอดูภายนอกช่วยทำนาย พร้อมกับให้สาวกผู้ใกล้ชิดไปสืบประวัติและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลคนนั้นๆ ครั้นพบญาติโยมในวันต่อมาก็จะบอกว่า หลวงพ่อได้นั่งดูทางในให้แล้วนะ พร้อมกับทำนายตามที่หมอดูได้ทำนายไว้ และการสอบประวัติจากหลายแง่มุมมาประกอบเหตุผล ก็ได้ผลดีถึงกับงมงายทุกราย
และ ณ วัดพระธรรมกายแห่งนี้ ก็จะมีไชยบูลย์และเผด็จใช้เทคนิคการเลี่ยงบาลี เมื่อมีผู้มาถามถึงคุณวิเศษที่มีอยู่หรือไม่ แรกๆ ก็คิดว่าเลี่ยงบาลี แต่ว่าเจตนาในการหลอกให้เขาเข้าใจผิดนั้นมีอยู่ ในที่สุดก็เลี่ยงไม่พ้นเพราะชอบอวดอยู่บ่อยๆ กลายเป็นโกหก แล้วก็เลยไปหลอกลวงต่อไปเป็นอาจิณเสียเลย จะได้ไม่ต้องปั้นจิ้มปั้นเจ๋อหลบๆ เลี่ยงๆ อีกต่อไป
ทั้งสองคนนี้ไม่ได้เข้าถึงธรรมกายตามที่อวดอ้าง ไม่มีคุณวิเศษใดๆ เลย ไม่กล้าเผชิญกับความจริง น่าที่สาวกทั้งหลายจะได้พิสูน์ให้ทราบชัดตรงๆ โดยไม่ถูกหลอกให้หลงเชื่อต่อไป
การสอนธรรมะของทั้งสองคนนึ้จะอ้างถึงการเข้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นอาจิณ จนในที่สุดไชยบูลย์ถึงกับรับสมอ้างว่า เป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด และไม่ใช่พระพุทธเจ้าธรรมดา แต่เป็นถึงต้นธาตุต้นธรรม คือเป็นหัวหน้าและให้กำเนิดพระพุทธเจ้าทั้งหมด และให้กำเนิดหลวงพ่อวัดปากน้ำด้วย ตลอดจนให้กำเนิดสรรพสิ่งและสรรพชีวิตในโลกนี้ มีอำนาจสิทธิขาดที่จะลงโทษใครโดยการนำเอากายมนุษย์ละเอียดและสรรพบารมีที่ได้สร้างสมไว้ เอามาละลายทำลายทิ้ง ถ้าผู้นั้นไม่เป็นที่ถูกใจ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าบางองค์ทำไม่ถูกใจ ก็ไม่เว้น
เรื่องความเป็นผู้มีบารมีสูงและความบริสุทธิ์ ไชยบูลย์จะเล่าให้สาวกฟังว่า ตนเองมีการเวียนว่ายตายเกิด เริ่มตั้งแต่เป็นพระปฐมพุทธเจ้า (Primary Buddha) เป็นปฐมบุรุษ ก่อนมีสรรพสิ่ง ก่อนมีโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ จนกระทั่งเข้าสู่โลกยุคปัจจุบัน ไชยบูลย์อ้างว่าไม่เคยให้กำเนิดเป็นสัตว์เลย ทุกชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดจะเกิดเป็นบุรุษ ไม่เคยเสพกาม และบวชในพระพุทธศาสนาทุกชาติจนสิ้นอายุขัย แม้ในชาตินี้ก็ไม่เคยมีเป็นพรหมเลยจนถึงปัจจุบัน
ก่อนบวชนั้น ไชยบูลย์เคยอ้างกับแม่ชีจันทร์ว่ายังไม่เบื่อโลกเลย ขอให้มีโอกาสในทางโลกอย่างสุดเหวี่ยงแล้วจะได้ทิ้งไปโดยไม่อาลัยอีก ช่วงนั้นไชยบูลย์ทำทุกรูปแบบเพื่อให้มีความสมบูรณ์ในกามสุขตามโลกียวิสัย จนแม้กระทั่งเมื่อบวชแล้วประมาณ 1 ปี โรคซิฟิลิสที่ฝังตัวอยู่ก็กำเริบ จนต้องขอร้องให้ชิดชัย (พระชิดชัย มหาชิโต หรือวิญญูนันทกุล ที่เสียชีวิตด้วยการดื่มยาพิษภายในวัด) ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้บวชช่วยพาไปหาคลินิกหมอรักษา
มาถึงจุดนี้ ไม่ทราบว่าจะอวดความบริสุทธิ์กันไปถึงไหน เพราะสมัยที่อยู่ร่วมกัน เราเคยคอยช่วยแก้ช่วยกีดกันเรื่องผู้หญิงตามมาร้องห่มร้องไห้ที่วัดเป็นประจำ ปัจจุบันไชยบูลย์ก็ยังอวดอ้างความบริสุทธิ์ ความเป็นชายพรหมจรรย์ให้ตนเองให้กับสีกาที่สนิทๆ ฟังเป็นประจำ ถึงขนาดที่สีกาคนสนิทออกมาประกาศว่า ขอรับประกันว่าไชยบูลย์เป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์จริงๆ เกิดมาเพื่อซื่อสัตย์ต่อตนเองจริงๆ
แม้กระทั่งตนเองยังเกิดมาเพื่อเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของไชยบูลย์เลย

(ยังมีต่ออีก รอสักพัก จะมีร่ายยาวกว่านี้ บันทึกจากคนที่ใกล้ชิดคนหนึ่งในอดีตของ ไชยบูลย์ เราได้มาโดยวิธีใด ไม่มีใครทราบ เราว่าเราเจ๋งก็แล้วกัน และอีกไม่นานก็จะมีบันทึกของคนใกล้ชิดสีกาอี๊ด อื๋ย…)



Follow Ups:



Post a Followup

Name:
E-Mail:

Subject:

Comments:

Optional Link URL:
Link Title:
Optional Image URL:


[ Follow Ups ] [ Post Followup ] [ Sensitive Forum ] [ FAQ ]