'ธรรมกาย' ปาฏิหาริย์ หรือ 'โกหัญญวิธี' บทความพิเศษ มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 2541 โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ผมบวชเรียนตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เรียนนักธรรมบาลี จบหลักสูตรตั้งแต่อายุ 20 ปี บริบูรณ์ อุปสมบทแล้วได้ช่วยหลวงพ่อพระธรรมเจดีย์ (ตั้งแต่สมัยที่ท่านเป็นพระราชเวที) สอนบาลีที่วัดทองนพคุณอันเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงแห่งเดียวในประเทศ

ศิษย์ที่เรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยครุ่นแรกๆ และเป็นรุ่นพี่ผมมีมากมาย อาทิ พระมหาช่วง วรปุญโญ วัดปากน้ำภาษีเจริญ (ปัจจุบัน สมเด็จพระมหารัชมหาคลาจารย์) พระมหาบุญมา คุณสมฺปนฺโน วัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบัน พระธรรมวโรดม) พระมหาวีระ ภทฺทจารี วัดสุทัศน์ (ปัจจุบัน พระวิสุทธาธิบดี) พระมหาพลอย ญาณสํวโร วัดเทพธิดาราม (ปัจจุบัน พระวิสทุธิวงศาจารย์)

"หลวงพี่" ของผมเหล่านี้ ปัจจุบันมีสมณศักดิ์ระดับสมเด็จพระราชาคณะ และชั้นรองสมเด็จ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมก็หลายรูป

เมื่อไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ก็ได้ช่วยพระธรรมธีรราชมหามุนี (เมื่อสมัยเป็นพระเทพสิทธิมุนี) สอนวิปัสสนากรรมฐานชั้นต้นแฝรั่งที่มาปฏิบัติธรรม ที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ (เคมบริดจ์) ก็มีสมาคมพุทธของมหาวิทยาลัย ยังได้เป้นอุปนายกของสมาคมและสอนวิปัสสนากรรมฐานแก่นักศึกษาและประชาชนผู้สนใจตราบเท่าที่ยังอยู่ที่นั่น

ผผบวชและช่วยทำงานพระศาสนาเป็นเวลา 22 ปี กว่าจะสึกออกมาเป้นอาจารย์สอนวิชาพระพุทธศาสนา พุทธปรัชญาในมหาวิทยาลัย และเป็นอาจารย์พิเศาบรรยายวิชาพระไตรปิฎกแก่นิสิตหมาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มาจนบัดนี้

ปัจจุบันนี้ยังได้แผ่อานิสงส์ไปยังประชาชนทั่วไป โดยเปิดสอนพระไตรปิฎกและสอนภาษาบาลีแก่ประชาชน ที่ยุวพทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย อีกด้วย

ที่ต้องบอกภูมิหลังของตัวเอง ก็เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ข้อเขียนที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ มิใช่เกิดจากการคาดเดาเลื่อนลอยโดยไร้หลักฐานที่มา ทรรศนะใด และข้อวินิจฉัยใดที่พึงมี กระทำขึ้นจากการไตร่ตรองจากประสบการณ์ตรงที่ตนมี ทั้งในด้านปริยัติและปฏิบัติ

การรับรู้เกี่ยวกับธรรมกายของผม

ผมได้รับรู้เรื่องธรรมกาย ตั้งแต่เป็นสมาเณร ประมาณปี พ.ศ. 2500 - 2503 ข่าวหลวงพ่อสด ธมมฺสโร วัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้ประกาศ(หรือลูกศิษย์ประกาศก็ไม่แน่ใจ) ว่า ตนได้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ซึ่งอ้างว่าได้หายไปหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 500 ปี ฮือฮากันมากในหมู่ชาวพุทธ

ผู้รู้ทางพระพุทธศาสนาวิพากษ์และคัดค้าน "ข้อค้นพบ" ดังกล่าว จำนวนมาก ด้วยเหตุผลว่า มรรคผลปรินิพพานของพระพุทธเจ้า มิใช่วิทยายุทธลึกลับที่จะหายไปแล้วโผล่ขึ้นมาใหม่ ดังวิทยายุทธเส้าหลิน เพราะเป็น "สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ" (ถ้าแปลกันยังไม่ได้ ก็โทษพระสงฆ์ที่สอนศาสนา ไปมัววางโปรกเจ็กต์ขายบุญอาเงินมาก่อสร้างอะไรอยู่ จึงไม่มีเวลาสอนแม้บทสวดมนต์ง่ายๆนี้)

หลวงพ่อสดเอก้ไม่มีเหตุผลมาหักล้างข้อวิพากษ์ของผู้รู้ นอกจากคำพูดว่า ท่านเป็นผู้ค้นพบวิชชาธรรมากยที่หายไปหลังพุทธปรินิพพานเพียงผู้เดียว แม้สมเด็นพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ) เข้าใจว่าสมัยยังเป็นพระธรรมวโรดม จะเขียนบทความสนับสนุนรับรอง ก็เขียนในฐานะที่เป็นพระ "สหภูมิ" ด้วยกัน และเกื้อกูลกันฉันกัลยาณมิตรมากกว่า ไม่มีเหตุผลอันมีน้ำหนักพอเชื่อได้ นอกจากบอกว่า เป็นของมีจริงถูกต้อง

ถูกต้องอย่างไรนั้นคงจะต้องมีเหตุผล หลักฐานมากกว่าที่เขียนไว้ การท้วงติงของผู้รู้น่าจะมีค่าควรพิจารณามากกว่าจะแปรเจตนาไปในทำนองอิจฉาริษยาความเด่นดังของหลวงพ่อสดเพียงอย่างเดียว

ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบมาจากอีกมุมหนึ่งว่า หลวงพ่อสดเกิดข้อขัดข้องในการปฏิบัติ ต้องไปขอให้อาจารย์ใหญ่วิปัสสนาธุระรูปหนึ่งช่วยแก้ให้ จึงก้าวหน้าในการปฏิบัติ เรื่องนี้คงไม่ต้องถึงกับเข้าทรง "วิญญาณ" ของอาจารย์วิปัสสนารูปนั้นมาถาม เพราะศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านยังมีอยู่และสามารถยืนยันได้

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหมู่ชาวพุทธ วิชชาธรรมกายก็เจิรญรุ่งเรือง ตลอดระยะเวลาที่หลวงพ่อสดมีชีวิตอยู่ ลาภสักการะหลั่งหลเข้ามามากมาย และได้แผ่อนิสงส์มายังพระเณรวัดปากน้ำภาษีเจริญด้วย โดยมีการตั้งมูลนิธิศึกษาพระปริยัติธรรม มีโรงครัวทำอาหารเช้า-เพล ถวายพระเณรวัดปากน้ำ ไม่ให้ขาดแคลนด้านปัจจัยสี่

ว่ากันว่า พระเณรไม่ต้องออกบิณฑบาตรอันเป็นกิจวัตรของสงฆ์ด้วยซ้ำ เพรามีอยู่มีกินเพียงพอแล้ว

แม้เมื่อท่านมรณภาพแล้ว สานะศิษย์ก้มิได้ "ปลงศพ" ท่าน ด้วยเกรงว่าอานิสงส์ที่มีนั้นจะหดหายไปตามสังขารของหลวงพ่อ รูปกายของท่านได้ช่วยเลี้ยงศิษยานุศิษย์ให้อยู่ดีกินดีมายาวนาน แต่ก็ถือว่ายังน้อย เมื่อเทียบกับ "ธรรมกาย" ที่ท่านทิ้งเอาไว้ ต่อมาได้ถูกนำไปเป็น "เครื่องมือ" แสวงหาผลประโยชน์กันอย่างพิลึกมโหฬาร โดยศิาย์บางกลุ่มบางสำนักดังที่รู้เห็นกันโดยทั่วไป

ธรรมกายคือลัทธิ

ผมสนใจศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวิชชาธรรมกายมายาวนาน (โดยไม่ต้องพูดถึงข้อมูลเกี่ยวกับสำนักต่างๆทั้งโดยตรงและโยอ้อม มีเป้น "กะตั๊กๆ") ก่อนที่จะสรุปว่า วิชชาะรรมกายของหลวงพ่อสด มิใช่คำสอนของพระพุทะเจ้า หากเป็นการสร้าง "ลัทธิ" หนึ่งขึ้นในพระพุทธศาสนา ผมตั้งข้อสังเกตดังนี้

1.เป้าหมายสูงสุดตามแนวธรรมกายดูเหมือนมิใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน (ความจริงตัดคำว่า "ดูเหมือน" ออกก็ได้) 2.วิธีปฏิบัติหลายอย่างของศิษย์รุ่นหลัง (เน้นเฉพาะบางสำนัก) เขวไปจากแนวพุทธ และท่าทีของสำนักธรรมกาย(เน้นเฉพาะบางสำนัก) มีหลายอย่างเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งจะอธิบายต่อไป

ประเด็นที่หนึ่ง เขาสอนกันอย่างไร ธรรมกายคืออะไร นิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดคืออะไร จากหนังสือธรรมเทศนา 63 กัณฑ์ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้อธิบายไว้ว่า "ธรรมกาย เป็นกายละเอียดที่สุดของมนุษย์หรือสัตว์โลกทั้งหลาย อันประมวลความบริสุทธิ์ 3 ประการคือ

1. กายและหัวใจ (ของธรรมกาย) เป็นเนื้อหนังที่แท้จริง รวบยอด กลั่นออกมาจากพระวินัยปิฎก เป็นปฐมมรรค 2. ดวงจิต (ของธรรมกาย) เป็นเนื้อหนังที่แท้จริง รวบยอด กลั่นออกมาจากพระสุตันตปิฎก เป็นมรรคจิต 3. ดวงปัญญา (ของธรรมกาย) เป็นเนื้อหนังที่แท้จริง รวบยอด กลั่นออกมาจากพระอภิธรรมปิฎก เป็นมรรคปัญญา"

อธิบายต่อไปว่า "ธรรมกายเป็นกายประเสริฐ เป็นกายบริสุทธิ์ เป็นกายที่อยู่เหนือความปรุงแต่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรุงแต่งด้วยบาปอกุศล หรือบุญกุศล" แล้วก็สรุปฟันธงว่า "ดังนั้น ธรรมกาย จึงไม่ตกอยู่ในอาณัติแห่งไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเป็นกายที่เที่ยงแท้ เป็นกายที่เป็นตัวตนแท้จริง"

ทฤษฎีอย่างนี้คือ "ลัทธิ" เริ่มบอกเลาๆ ว่าเป้าหมายสูงสุด (นิพพาน) เป็นอัตตา เป็นตัวตน

วิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้ธรรมกายของลัทธินี้ มาจากความเชื่อพื้นฐานว่า คนเรามีหลายกายทั้งหยาบและละเอียด ซ้อนๆกันอยู่ สรุปแล้วมี 18 กาย คือ กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด ธรรมกาย ธรรมกายละเอียด ธรรมกายโสดา ธรรมกายโสดาละเอียด ธรรมกายสกิทาคา ธรรมกายสกิทาคาละเอียด ธรรมกายอนาคา ธรรมกายอนาคาละเอียด ธรรมกายอรหัต ธรรมกายอรหัตละเอียด

ผู้ปฏิบัติพึงกำหนดดวงแก้วใส เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแม่ โตเท่าแก้วตา ผ่านช่องจมูก (หญิงช่องซ้าย ชายช่องขวา) บริกรรมว่า "สัมมา อรหังๆ"ที่ฐานที่1 จากนั้นเลื่อนไปฐานที่ 2 คือเพลาตา (หญิงซ้าย ชายขวา เช่นเดิม) แล้วเลื่อนไปยังฐานที่ 3 คือตรงกลางกั๊กศีรษะข้างใน บริกรรมประคองไปเรื่อยๆ จากนั้นให้เลื่อนไปยังฐานที่ 4 คือปากช่องเพดาน บริกรรมประคองไว้แล้วเลื่อนไปยังฐานที่ 5 คือ ช่องคอเหนือลูกกระเดือก แล้วเลื่อนลงไปยังฐานที่ 6 คือกลางตัวระดับสะดือ เสร็จแล้วเลื่อนขึ้นมาเหนือสะดือ 2 นิ้ว อันเป็นฐานที่ 7 ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น "ศูนย์กลางกาย" บริกรรมพร้อมกับนึกเพชรลูกเป็นดวงใสว่า "สัมมา อรหังๆ ๆ"

เมื่อใจหยุดถูกส่วน นิมิตที่เกิดขึ้นจะเห็นชัดเจน เหมือนดวงแก้วที่เจียระไนแล้ว ใส สะอาด ขนาดเท่าไข่แดงของไข่ไก่ หรือโตขนาดเท่าเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งคืบ เมื่อใจหยุดถูกส่วนเข้า จะมีรัศมีสว่างรอบดวง สามารถเห็นจุดศูนย์กลางเท่าปลายเข็มได้

ดวงนิมิตนี้เรียก "ปฐมมรรค" หรือดวงธรรม ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่มรรคผลนิพพาน

เมื่อเข้าถึง"ปฐมมมรรค" หรือดวงธรรม ที่เรียกเช่นนี้เพราะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่มรรคผลนิพพาน

เมื่อเข้าไปถึงปฐมมรรคแล้ว ก้เอาใจจรดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางปฐมมรรคนั้นเมื่อถูกส่วนเข้า ก็จะเข้าถึงกายในกายไปตามลำดับ ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม แล้วเข้าถึง "ธรรมกาย" ธรรมกายที่เกิดขึ้นจะเป็น พรพุทธรูป เกตุดอกบัวตูม มีรัศมีสว่างไสว ครองจีวรแบบสำนักวัดปากน้ำ ประทับนั่งท่าสมาธิ ถ้าเป็นธรรมกายของพระพุทธเจ้า จะประทับบนรัตนบัลลังก์ ถ้าเป็นธรรมกายของพระโสดา สกิทาคา อนาคา และอรัต จะนั่งบนแผ่นกลมๆ ขาว ใส

ขนาดของพระธรรมกายก็แตกต่งกันตามภูมิชั้น คือถ้าเป็นธรรมกายโสดา พระพุทธรูปเกตุดอกบัวตูมจะมีขนาดหนาตัก 5 วา ธรรมกายสกทาคา หน้าตัก 10 ว่า ธรรมกายอนาคา หน้าตัก 15 ว่า ธรรมกายอรหัต หน้าตัก 20 วา

สรุปตามความเชื่อของลัทธินี้ ผลของการปฏิบัติภาวนาก็คือ การทำตนให้เป็นพระพุทธรูปเกตุดอกบัวตูม ตามกรรมวิธีข้างต้น และพระพุทธรูปเหล่านี้จะถูกดูดเข้าไปรวมกันอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นภพ เป็นสถานที่นิรันดร เรียกว่า "อายตนนิพพาน"

เชื่อกันว่าพระพุทะเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อดับขันธ์แล้ว หลังจากร่างกายแตกดับแล้ว จะไปปรากฎบนดินแดน หรือสถานที่ที่เรียกว่า อายตนนิพพาน โดยเข้านิโรธสมาบัติ สงบนิ่งเป็นนิรันดร เที่ยงแท้ตลอดกัลปาวสาน

นี่คือสิ่งที่ลัทธินี้เรียกนิพพาน อันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา

อยากถามว่า นี้คือการบรรลุธรรมตามหลักพระพุทธศานาหรือ นิพพานของพระพุทะศาสนาเป็นสถานที่นิรันดร เป้นอัตตาเที่ยงแท้ถาวรอย่างนี้หรือ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายดับขันธ์แล้วยังดำรงอยุในสถานที่ใดที่หนึ่งชัวนิรันดรดังที่ว่านี้จริงหรือ

นิพพานของพระพุทธเจ้า คือการดับราคะ โทสะ โมหะ ได้โดยสิ้นเชิง เป็นสภาวะ พระอรหันต์คือผู้ปฏิบัติจนรู้จ้งเห้นจริง หมดโลภโกรธหลงโดยสิ้นเชิง ตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎก ก็คนละนิพพานและคนละอรหันต์กับลัทธินี้

เพราะการบรรลุธรรมของท่านคือการทำตน (โดยนึกเอา) ให้เป็นพะพุทธรูปเกตุดอกบัวตูมเท่านั้นเอง ภูมิธรรมของผู้บรรลุธรรมใครสูงใครต่ำวัดกันที่พระพุทธรูปของใครหน้าตักกี่ศอกกี่วา

มีใครถามกันไหมว่า พระอรหันต์ และนิพพานแบบนี้มาจากสำนักกำลังภายในสำนักไหน ถ้าจะเพ่งอย่างนี้จนบรรลุนิพพานดังที่ว่า "ก็น่าจะคนละนิพพานกับที่พระพุทธเจ้าสอน" (น.พ.ประเวศ วสี สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโศก หน้า 47)

นิพพานของลัทธินี้ เป็นสถานที่สถิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์หลังจากดับขันธ์ไปแล้ว โดยประทับนิ่งเข้านิโรธสมาบัติ สงบนิ่งแออัดกันอยู่ที่ที่เรียกว่าอายตนนิพพานตลอดนิรันดร ความเชื่อย่างนี้ผิดธรรมผิดวินัยของพระพุทะเจ้าพระองค์นี้แน่นอน เพราะในขณะที่พระพุทธองค์ทรงสอน "อนัตตา" แต่ลัทธินี้เน้นเรื่อง "อัตตา" ถาวร

ท่านผู้รู้ เช่น พระธรรมปิฎก ได้ย้ำเตือนว่า "ไม่มีหลักฐานใดในพระไตรปิฎกที่กล่าวถ้อยคำระบุลงไปว่า นิพพานเป็นอัตตา มีแต่ที่ตรัสว่าเป็นอนัตตา แต่หลักฐานในคัมภีร์ที่กล่าวระบุลงไปว่า นิพพานเป็นอนัตตานั้นมีและมีหลายแห่ง"

ศิษย์สำนักนี้ก็ทุรังเถียงว่า นิพพานเป็นอัตตาๆ โดยพยายามตีความจากพระคัมภีร์เพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตน เมื่อเถียงสู้ไม่ได้ หลักฐานไม่มีน้ำหนักพอ ก็อ้างคำพูดเกจิอาจารย์บางรูปบ้าง อ้างผลจากการปฏิบัติขอตน ทำนองจะบอกว่า ผู้พูด (พระธรรมปิฎก) เป็นเพียงพระปริยัติ มิใช่พระปฏิบัติเหมือนตนบ้าง

ถ้าจะพูดกลับกันบ้างเล่า จะได้หรือไม่ เพราะ "การเป็นนักปฏิบัติ" มิได้ผูกขาดไว้กับใครมิใช่หรือ ผลจากการปฏิบัติเป็น "ปัจจัตตัง" ก็จริง แต่ผลวัดได้จากการแสดงออกภายนอก คนที่ถูกซักเพียงนิดหน่อยแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นั้นภูมิปฏิบัติคงห่างไกลนิพพานลิบลับ หรือมิใช่

ประเด็นที่สอง วิธีปฏิบัติหลายอย่างพิลึกกึกกือ และห่างไกลจากแนวพระพุทธศาสนา ม่ผู้เล่าว่าพิธีขึ้นไปถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้าบนอายตนนิพพาน เจ้าสำนักอ้างจนว่าเป้น "ต้นธาตุ ต้นธรรม" (บางครั้งพูดทำนองว่าเป็นใหญ่กว่าผู้ตรัสรู้คนใด) สามารถเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ จึงเกณฑ์สานุศิษย์มาทำพิธีถวายข้าวพระพุทธเจ้าทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน โดยให้ทุกคนรวมกลุ่มกัน นั่งสงบ แล้วตนเองก็จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนนำข้าวไปถวายพระพุทธเจ้า ให้ทุกคนส่งใจตามไปด้วย แล้วก็อิ่มเอมเปรมใจกันทั่วหน้ากันว่า พวกตนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นบุญวาสนาเหลือเกินที่ได้มาเป็นศิษย์สำนักนี้

เพราะฉะนั้น จึงไม่แปลกที่ศิษย์สำนักนี้พยายามชักจูงเพื่อนฝูงไปทำบุญทำทาน ชนิดเอาเป็นเอาตาย เมื่อเพื่อนบอกว่าตามปกติเขาก็ทำบุญตักบาตรที่อื่นอยู่แล้ว ก็จะบอกว่า ทำบุญที่อื่นไม่ได้บุญ อย่างเก่งก็เท่ากับให้ทานคนขอทาน แต่ทำที่วัดนี้ได้บุญมาก เพราะ "ได้สัมผัสพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย"

เจ้าสำนักได้ตั้งตนเป็นต้นธาตุต้นธรรม คำนี้จะหมายอย่างใดก็ตามเถิด แต่พฤติกรรมที่ออกมาก็คือ พยายามสร้างความขลังความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ตนเอง เริ่มจากวางตนให้ยิ่งใหญ่ สำคัญมีบุคลิกภาพน่าเลื่อมใส ผิวพรรณไม่ผ่องโดยการปฏิบัติธรรม ก็ทำให้ผ่องได้ด้วยการอบผิว อบสมุนไพร (แต่ก่อนใช้บริการแถวๆซอยโชคชัยประจำ ปัจจุบันนี้ไม่ได้แจ้งว่าเปลี่ยนหรือยัง) ใช้สบู่ราคาแพง (ก่อนนี้ยี่ห้อ ดร.ปาโยต์ ราคาก้อนละ 500 บาท) สั่งอาหารจากภัตตาคารอย่างดีกิน ครองจีวรป่านสวิสสะท้อนแสงเพื่อให้ขับผิวพรรณให้ผุดผ่องน่ากราบน่าไหว้ ใช้แสงสีเทคโนโลยี่ชั้นสูงฉายเป็นฉัพพรรณรังสี ดุจดังพระพุทธเจ้า

ก่อนนี้มีการปั่นพระพุทธรูปพระพักตร์เหมือนตนเอง (เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน พระพุทธรูปนั้นก้ถูกทำลายไปแล้ว โดยอ้างว่ามีกลุ่มผู้ไม่หวังดีลอบเข้ามาทุบทำลาย)

ที่น่าเกลียดก็คือ การอ้างว่าเจ้าสำนักสามารถ "อัดธรรมกาย" ให้แก่ศิษย์ที่ "ถูกเลือกแล้ว" ได้ โดยไม่ต้องฝึกปฏิบัติ วันดีคืนดีก็จะนำกลุ่มสานุศิษย์ที่ "ถูกเลือกแล้ว" (ส่วนมากจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี กระเป๋าหนัก) ขึ้นไปอัดธรรมกายบนดอย

ก่อนเข้าอัดธรรมกาย จะมีการปฐมนิเทศน์ว่า ถ้าหลวงพ่อถามว่า เห็นไหม ต้องตอบว่าเห็น เพราะถ้าตอบว่าไม่เห็น ธาตุไม่เห็นนั้นจะปิดบังไปตลอด ทุกคนเข้าไปก็จะตอบคำถามที่ถามนำตลอด จนเป็นที่พอใจแล้วก็จะให้ออกมา พร้อมกับคำยืนยันว่า เขา "ได้ธรรมกาย" แล้ว

เกิดมาไม่เคยได้ พอได้เข้า (โดยได้รับบอกเช่นนั้น) ประดาเศรษฐีทั้งหลายก็ปิติซาบซ่าน มีแสนถวายแสน มีล้านถวายล้าน เพื่อบูชาคุณของครูบาอาจารย์ที่ก่อกำเนิดในทางธรรม

มีอยู่บ้างที่อัดไม่สำเร็จ เนื่องเพราะผู้ถูกเลือกไปอัดเป็นพระภิกษุ ไม่กล้ากล่าวเท็จ ถามว่าเห็นไหม ท่านก็ตอบว่าไม่เห็นๆ แล้วก็ถูกตะเพิดออกมาจนกลายเป็นบ้าเป็นบอ แล้วไม่นานก็ถึงแก่มรณภาพ

ผมกำลังจะเพ่งดวงแก้วสอบถามหลวงพี่ชิดชัยว่า ท่านมรณภาพด้วยสาเหตุใด

คำถามของผมก็คือ ถ้ามีการอัดธรรมกาย หรืออัดมรรคผลนิพพานให้แก่กันได้ด้วยวิธีนี้จริง เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือเจ้าของลัทธิสำนักใด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโย อญฺญํ วิโสธเย = ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นภาวะเฉพาะตน คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้ แต่การที่ใครก็ตาม ไม่ต้องฝึกปฏิบัติอะไร เข้าไปในห้องแล้วออกมาพร้อมกับคุยว่าตนได้เป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสแล้ว เพราะได้รับการอัดจากหลวงพ่อแล้ว น่าจะเป็นการอัดอย่างอื่นมากกว่า

ข้อปฏิบัติพิลึกพิลั่นอย่างนี้ คือแนวทางพระพุทธศาสนาหรือครับ

ถ้าใช่ มีตรัสไว้ในพระคัมภีร์เล่มใด

ถ้าไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัยของพระพุทธเจ้า แล้วคนนุ่งเหลืองห่มเหลืองนำเอามาสอนคนอย่างนี้ ควรเรียกตนว่าสาวกของพระพุทธเจ้าหรือ คำอื่นจะไม่เหมาะสมกว่าหรือ เช่น อัญญะติตถิยะ ทุมมังกุ กุหกะ โมฆะปุริสะ

การพร่ำสอนแต่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนทำไม่ได และพิสูจน์ไม่ได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พึงพิจารณา อาทิวันดีคืนดี ก็จะกล่าวขึ้นท่ามกลางศิษย์ทั้งหลายว่า เมื่อคืนนี้นั่งสมาธิ อยู่ๆก็หลุด หลุดขึ้นไปบนสวรรค์ไปเห็นโยมมารดาอยู่โน่น มิน่าเล่า หลังจากสิ้นไปแล้ว โยมมารดาไม่มาเข้าฝันเลย ทีแท้ก็ได้มาเกิดเป็นเทวดาเสวยสุขบนวิมานทิพย์นี้เอง แหม โยม มันสบายเหลือเกิน บอกโยมแม่ว่า ลูกขออยู่ด้วยคนได้ไหม ไม่อยากกลับโลกมนุษย์ โยมแม่บอกว่า ไม่ได้ลูกต้องกลับไป ไปสอนคนให้บรรลุธรรมมากๆ ภารกิจของลูกใหญ่หลวงนัก…" (ข้อความจากเทปบันทึกเสียง)

ดูเหมือนว่าสำนักนี้ มักจะเน้นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือเอาเรื่องที่ไกลหูไกตาพิสูจน์ไม่ได้มากล่าวสอนกัน เพื่อให้ประชาชนศรัทธาถวายจตุปัจจัยมากๆ

ขอให้บริจาคให้มากๆ จะโดยวิธีใดนับว่าดี (สำหรับผู้รับ) ทั้งนั้น ไม่ต้องคำนึงว่าจะสร้างคามลำบากสร้างความขัดแย้งแตกแยกแก่ครอบครัวผู้หลงศรัทธาบริจาคหรือไม่

"ท่านเจ้าคะ ดิฉันมีเงินอยู่แสนหนึ่ง ไปกู้ธนาคารมาอีกแสนหนึ่ง เอามาทำบุญ ดิฉันได้บุญมากไหม" คำตอบลอยมาว่า

"ได้สองเท่าเลยโยม โยมมีแสนเดียวอุตส่าห์ไปกู้มาอีกแสน นับว่ามีศรัทธามาก อย่างนี้ได้บุญสองเท่า"

กรณีตัวอย่างนี้ ถ้าเกิดขึ้นจริง สำนึกเด็กเจ็ดขวบก็บอกได้ว่า เป็นการทำบุญ และชักชวนทำบุญที่ไม่เหมาะไม่ควร กรณีอย่างนี้เรียกว่าชวนทำบุญไม่ได้ นอกจาก "กระสือสูบบุญ"

การโหมโฆษณาให้สร้างเจดีย์อันใหญ่มหึมา ตั้งเป้าหาเงินเป็นสามหมื่นล้านอย่างต่ำ ในขณะที่ประเทศชาติและประชาชนกำลังถูกภาวะเศรษฐกิจคุกคาม คนเคยมีงานทำถูกไล่ออกจากงาน มีบ้านมีรถ ถูกยึดบ้านยึดรถ ครอบครัวต้องแตกแยกเพราะความอดอยากหิวโหยครอบงำ

หลายคนหาทางออกไม่ได้เป็นบ้าเป็นบอไปก็มาก ฆ่าตัวตายหนีปัญหาก็มาก อ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์แต่ละวันแล้วหดหู่ มีข่าวคนกระโดดตึกตายบ้าง นัดกินยาพิษตายหมู่บ้าง ลูกป่วยหนักไม่มียารักษาแต่ต้องตัดสินใจจี้ร้านขายยาเอายามาให้ลูกกิน ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้นับวันจะเพิ่ม และรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลก็ดี ฝ่ายค้านก็ดี นักวิชาการ พ่อค้าประชาชนก็ดี ต่างก็พยายามที่จะกู้ภาวะเศรษฐกิจให้มันฟื้นตัวขึ้น มีสติปัญญาเท่าไรก็ทุ่มลงไปเพื่อความอยู่รอดของปวงชนชาวไทย

เหลียวมองมายังสถาบันสงฆ์ก็ยังเงียบอยู่ เราอยากเห็นความเคลื่อนไหวด้วยมหากรุณา ว่าในภาวะคับขันอย่างนี้ พระสงฆ์จะช่วยอะไรได้บ้าง อาทิ เทศน์ปลอใจให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก ให้ช่วยกันอดทน อดกลั้นและอดออม ช่วยกันประหยัด ช่วยเหลือกันไปตามความสามารถ ไม่มีใครอดตาย ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

อยากเห็นบทบาทของพระสงฆ์ออกมาเช่นนี้ครับ

ไม่ใช่ออกมาแบบกระสือสูบบุญ เอะอะก็จะให้แต่คนบริจาคเป็นหมื่นเป็นแสน บริจาคน้อยก็บอกว่าไม่ได้บุญ ต้องจำนวนมากๆ (จะกินก็ยังไม่มี ยังจะมาขูดรีดกันไปถึงไหน)

แทนที่จะช่วยปลอบโยนจิตใจประชาชนที่ทรุดหนักอยู่แล้วให้สบายขึ้น กลับสร้างความตระหนกตกใจเข้าไปอีก อ้างว่าโลกจะแตกทำลายแล้ว ถ้าไม่ช่วยกันสร้างเจดีย์อันมหึมาให้แล้วเสร็จทันกำหนด ประชาชนต้องบริจาคเงินสร้างพระประจำตัวองค์ละหมื่น สามหมื่น แสน ล้าน ตามลำดับ เพื่อประดิษฐานเป็นองค์พระเจดีย์ให้เสร็จทันกำหนด ไม่เช่นนั้นจะตายกันหมดทั้งประเทศ ทั้งโลก

นี่หรือครับบทบาทของสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้เสด็จไปดีแล้ว เสด็จไปทำประโยชน์สุขแก่ชาวโลก ผู้ทรงมีพระมหากรุณาช่วยสั่งสอนให้คนให้ลดละ โลภ โกรธ หลง ละตัณหา อวิชชา อุปาทาน ทรงปลดเปลื้องทุกข์แก่เวไนยสัตว์ ทั้งทุกข์ทางกาย การดำรงชีพ และทุกข์ทางใจ

ผู้ที่อ้างว่าเป็นสาวกของพระพุทธองค์บางคน เดินสวนทางกับพระบรมศาสดาโดยสิ้นเชิง สอนให้คนงมงาย ยึดติดในเรื่องไร้สาระ เช่น อิทธิปาฏิหาริย์ (ที่สงสัยกันมากว่าอาศัยเทคนิคสมัยใหม่สรรค์สร้างขึ้นเพื่อให้มหัศจรรย์) สอนให้คนลุ่มหลงเอาเงินมาทุ่มสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ไม่คุ้มค่าการใช้สอย และไม่จำเป็น ในขณะที่ประเทศชาติตกอยู่ในภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างนี้ ขู่ให้คนซึ่งเสียขวัญอยู่แล้ว ตื่นตระหนกตกใจทุรนทุรายยิ่งขึ้น

คนที่ใช้ "โกหัญญวิธี" สร้างความร่ำรวยยิ่งใหญ่แก่ตนเอง ยังจะมีสิทธิ์เป็นสาวกของพระพุทธองค์อยู่หรือ จดทะเบียนเป็นเจ้าลัทธิกระสือสูบบุญ รู้แล้วรู้รอด

-----------------------------------------------------------------------------------------------
http://tae.hypermart.net/wwwboard/messages/624.html
Posted by ฉึกกะฉัก on December 08, 1998 at 13:34:59: