ขุดราก 'ธรรมกาย' ไม่ใช่ 'พุทธ' 'ราชบัณฑิต'แฉ เจ้าสำนักสำอาง 'อบผิว-กินเหลา'
หัวข่าว มติชนรายวัน ระจำวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2541

ราชบัณฑิต 'เสฐียรพงษ์' พลิกปูมชำแหละ 'ธรรมกาย' ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ระบุสร้างลัทธิใหม่ขึ้นในพระพุทธศาสนา เป้าหมายสูงสุด-วิธีปฏิบัติไขว้เขวไปจากแนวพุทธ ไม่ได้อยู่ในอาณัติ 'ไตรลักษณ์' แฉ 'เจ้าสำนัก'วางตัวให้ยิ่งใหญ่

นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิตผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนา ได้เสนอบทความเรื่อง "ธรรมกาย ปาฏิหาริย์ หรือ โกหัญญวิธี" ในหนังสือ "มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับวันอังคารที่ 8 ธันวาคม ระบุถึงพฤติกรรมของวัดพระธรรมกาย และการสอนวิชชาธรรมกายตอนหนึ่งว่า วิชชาธรรมกายที่หลวงพ่อสด จันทสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นผู้ค้นพบและทิ้งเอาไว้ ต่อมาได้ถูกนำไปเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์กันอย่างพิลึกมโหฬาร โดยศิษย์บางกลุ่มบางสำนัก นอกจากนี้วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสดมิใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า หากเป็นการสร้างลัทธิหนึ่งขึ้นในพระพุทธศาสนา โดยตั้งข้อสังเกตดังนี้

"1.เป้าหมายสูงสุดตามแนวธรรมกาย ดูเหมือนมิใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน (ความจริงตัดคำว่าดูเหมือนออกก็ได้)

2.วิธีปฏิบัติหลายอย่างของศิษย์รุ่นหลัง (เน้นเฉพาะบางสำนัก) เขวไปจากแนวพุทธและท่าทีของสำนักธรรมกาย (เน้นเฉพาะบางสำนัก) มีหลายอย่างที่น่าเคลือบแคลงสงสัย"

นายเสฐียนพงษ์ระบุว่า คำสอนของหลวงพ่อสดที่มีอยู่ในหนังสือะรรมเทศนา 63 กัณฑ์ของหลวงพ่อสวัดปากน้ำที่สรุปว่า "ดังนั้นธรรมกายจึงไม่ตกอยู่ในอาณัติแห่งไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเป็นกายที่เที่ยงแท้ เป็นกายที่เป็นตัวตนแท้จริงนั้ ทฤษฎีอย่างนี้คือลัทธิ เริ่มบอกเลาๆว่า เป้าหมายสูงสุด(นิพพาน) เป็นอัตตาตัวตน และแนวทางนี้ยังเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เมื่อดับขันธ์แล้ว หลังจากร่างกายแตกดับไปจะไปปรากฎบนดินแดน หรือสถานที่ที่เรียกว่า อายตนนิพพาน โดยเข้านิโรธสมาบัติ สงบนิ่งเป็นนิรันดร เที่ยงแท้ตลอดกัลปาวสาน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ลัทธินี้เรียกนิพพาน อันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งตนอยากถามว่านี่คือการบรรลุธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาหรือ นิพพานของพระพุทธศาสนาเป็นสถานที่นิรันดร เป็นอัตตาเที่ยงแท้ถาวรอย่างนี้หรือ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายดับขันธ์แล้วยังดำรงอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งชั่วนิรันดรดังที่ว่านี้จริงหรือ

"นิพพานของพระพุทธเจ้าคือการดับราคะ โทสะ โมหะ ได้โดยสิ้นเชิงเป็นสภาวะ พระอรหันต์คือผู้ปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นจริง หมด โลภ โกรธ หลง โดยสิ้นเชิงตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎก ก็คนละพิพพานและคนละอรหันต์กับลัทธินี้ เพราะผู้บรรลุธรรมของท่านคือการทำตน(โดยนึกเอา)ให้เป็นพระพุทธรูปเกตุดอกบัวตูมเท่านั้นเอง ภูมิธรรมของผู้บรรลุธรรมใครสูงใครต่ำ วัดกันที่พระพุทธรูปของใครหน้าตักกี่ศอกกี่วา มีใครถามกันไหมว่าพระอรหันต์และนิพพานแบบนี้มาจากสำนักกำลังภายในสำนักไหน ถ้าจะเพ่งอย่างนี้จนบรรลุนิพพานดังที่ว่า ก็น่าจะคนละนิพพานกับที่พระพุทธเจ้าสอน" นายเสฐียรพงษ์ระบุ

นายเสฐียรพงษ์เขียนด้วยว่า ความเชื่ออย่างนี้ผิดธรรมผิดวินัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แน่นอน เพราะในขณะที่พระพุทธองค์ทรงสอน "อนัตตา" แต่ลัทธินี้เน้นเรื่อง "อัตตา" ถาวร

"เจ้าสำนัก(ธรรมกาย) ได้ตั้งตนเป็นต้นธาตุต้นธรรม คำนี้จะหมายความอย่างใดก็ตาม แต่พฤติกรรมที่ออกมาคือพยายามสร้างความขลังความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ตนเอง เริ่มจากวางตนให้ยิ่งใหญ่ สำคัญ มีบุคคลิกภาพน่าเลื่อมใส ผิวพรรณไม่ผ่องโดยการปฏิบัติธรรม ก็ทำให้ผ่องได้ด้วยการอบผิว อบสมุนไพร ซึ่งแต่ก่อนใช้บริการแถวๆซอยโชคชัยประจำ ปัจจุบันนี้ไม่ได้แจ้งมาว่าเปลี่ยนหรือยัง ใช้สบู่ราคาแพง ก่อนนี้ยี่ห้อ ดร.ปาโยต์ ราคาก้อนละ 500 บาท สั่งอาหารจากภัตตาคารอย่างดีกิน ครองจีวรป่านสวิสสะท้อนแสง เพื่อให้ขับผิวพรรณให้ผุดผ่องน่ากราบน่าไหว้ ใช้แสงสีเทคโนโลยีชั้นสูงฉายเป็นฉัพพรรณรังสี ดุจดังพระพุทธเจ้า" นายเสฐียรพงษ์กล่าว

ราชบัณฑิตระบุด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมน่าเกลียดคือ การอ้างว่าเจ้าสำนักสามารถอัดธรรมกายให้แก่ลูกศิษย์ที่ถูกเลือกแล้วได้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีกระเป๋าหนัก โดยขึ้นไปอัดธรรมกายบนดอย ก่อนอัดจะปฐมนิเทศน์ว่า ถ้าหลวงพ่อถามว่าเห็นไหม ต้องตอบว่าเห็น ถ้าตอบว่าไม่เห็นธาตุไม่เห็นจะปิดบังไปตลอด และเมื่อผ่านกระบวนการแล้วจะมีการให้คำยืนยันว่าได้ธรรมกายแล้ว และมีอยู่บ้างที่อัดไม่สำเร็จเนื่องจากผู้ถูกเลือกไปอัดเป็นพระภิกษุไม่กล้ากล่าวเท็จ ถามว่าเห็นไหมก็ตอบว่าไม่เห็นๆ แล้วจึงถูกตะเพิดออกมาจนกลายเป็นบ้าเป็นบอแล้วไม่นานก็ถึงแก่มรณภาพ

"ผมกำลังจะนั่งเพ่งดวงแก้วสอบถามหลวงพี่ชิดชัดว่า ท่านมรณภาพด้วยสาเหตุใด" นายเสฐียรพงษ์ระบุตอนหนึ่ง

วันเดียวกันผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี พบว่า มีประชาชนไปถวายภัตตาหารในตอนเช้าน้อยมากเพียงไม่กี่สิบคน จากนั้นได้มีการจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นศิษย์ของวัดพระะรรมกายนำโดย นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานการก่อสร้างพระมหาธรรมกายเจดีย์ออกมาอภิปรายและปลุกเร้าให้ผู้ศรัทธาของวัดอย่าเชื่อสื่อมวลชนที่เสนอข่าวในทางลบเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย โดยส่วนใหญ่ต่างตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่วิทยากรผู้อภิปรายพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ และเป็นการแก้ข้อกล่าวหาที่ตรงประเด็นหรือไม่

นักธุรกิจและนักเล่นหุ้นรายใหญ่ผู้หนึ่งใน จ.ปทุมธานี เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของวัดนี้ พนักงานในบริษัทของตนหลายรายต้องตกอยู่ในภาวะเป้นหนี้สิน เพราะไปสร้างพระประจำตัวด้วยระบบเงินผ่อน องค์ละ 10,000 - 30,000 บาทเมื่อถึงกำหนดไม่มีเงินชำระงวดที่ถูกทวงถามก็มาเบิกกู้จากบริษัท รวมทั้งรูปแบบเผยแพร่ชักชวนคนเข้าวัด แทนที่จะให้สาธุชนเข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยความสงบเสงี่ยมตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา แต่ที่วัดนี้กลับเรี่ยไรเงินสร้างถาวรวัตถุขนาดใหญ่ เฉพาะมหาธรรมกายเจดีย์ ใช้งบฯก่อสร้างถึง 70,000 ล้านบาท ยิ่งเป็นการครอบงำจิตใจให้เกิดความละโมบให้กับผู้ที่หลงบุญ งบฯดังกล่าวหากนำไปใช้ประโยชน์ช่วยชาติ สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือสาธารณะประโยชน์น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

"เป็นที่น่าสังเกตว่าทรัพย์สินมากมายจากการบริจาค วัดพระธรรมกายได้จัดรูปแบบบริหารแบบมูลนิธิ ทราบว่าปัจจุบันที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ เขต อ.คลองหลวง ก็ยังมีปัญหาเรื่องฟ้องร้องเพราะมีผู้ในบุญบริจาคที่ดินให้วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งบริหารเป็นมูลนิธิเช่นเดียวกับวัดพระธรรมกายและได้นำที่ดินผืนดังกล่าวขายให้เอกชนสร้างสนามกอล์ฟไปแล้ว" นักธุรกิจรายเดียวกันกล่าว

เจ้าหน้าที่ประจำอำเภอคลองหลวงรายหนึ่งเปิดเผยว่า คอนโดมีเนียม หมู่บ้านจัดสรรที่ขึ้นโครงการมารองรับผู้ปฏิบัติธรรมรอบๆวัดพระธรรมกาย ด้านเรียบคลองสอง หมู่ 11 ต.คลองสอง เนื้อที่ 500 ไร และต.คลองสาม หมู่ 7 อีก 300 ไร่ รวมทั้งการก่อสร้างภายในวัดพระธรรมกายปรากฎว่าไม่เคยมีการขออนุญาตก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมาเป้นที่หนักใจของข้าราชการประจำมาก ไม่มีผู้ใดกล้าตรวจสอบเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน เพราะวัดพระธรรมกายเป็นองค์กรใหญ่มากมีผู้ใหญ่เป็นลูกศิษย์มาก

-----------------------------------------------------------------------------------------
http://tae.hypermart.net/wwwboard/messages/605.html
Posted by ฉึกกะฉัก on December 08, 1998 at 08:28:02: