บทสัมภาษณ์ อ. เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา และสามเณรเปรียญเก้าประโยครูปแรกของรัชการปัจจุบัน ด้านนายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา และสามเณรเปรียญเก้าประโยค รูปแรกของรัชการปัจจุบัน กล่าวถึงวัดพระธรรมกายว่า จากการติดตามข้อมูลต่างๆ มานานหลายปีพบว่าวัดพระธรรมกาย มีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการอวดด้างว่าตนเป็นผู้วิเศษ บรรลุธรรมชั้นสูง มีการสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นผู้สำคัญผู้วิเศษ พูดง่ายๆ ว่าพยายามจะเป็นพระพุทธเจ้า ถึงขนาดครั้งหนึ่ง เคยสั่งประติมากรปั้นพระพุทธรูป แต่พอปั้นไปอย่างไรก็ไม่ถูกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพระพักตร์ จนประติมากรถามว่าจะต้องปั้นอย่างไร พระธัมมชโย เจ้าอาวาสก็ชี้ที่หน้าตัวเองแล้วบอกว่าให้ปั้นตามนี้ กระทั่งต่อมาเกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนมีข่าวออกมาว่า มีคนบุกเข้าไปทุบพระพุทธรูปัดงกล่าว และทางธรรมกายก็ออกมาบอกว่าไม่เป็นไร จะไม่มีการจองเวร ราชบัณฑิตกล่าวว่า ในประเด็นที่สร้างความลึกลับเข้าพบยากนี้เอง ที่เป็นข้ออ้างว่าใครจะเข้าพบ พระธัมมชโย ต้องเป็นผู้ที่มีเพียงพอ ต้องเป็นผู้ที่เลือกแล้วซึ่งความจริงก็คือต้องร่ำรวย นั่นคือภาพที่พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสเป็นผู้สร้างขึ้น พยายามจะสร้างความศักดิ์สิทธิ์ ในเรื่องความลึกลับนี้พบข้อมูลว่าทุกต้นเดือนทางวัดจะมีพิธีถวายข้าวพระพุทธเจ้า โดยจะประชุมสานุศิษย์แล้วบอกว่า หากทำบุญกับเจ้าอาวาสจะได้บุญมากกว่า เพราะข้าวที่ถวายผ่านเจ้าอาวาสจะนำขึ้นไปบนสรวงสวรรค์เพื่อถวายกับพระพุทธเจ้าโดยตรง "ที่ลึกลับที่สุดอีกเรื่องคือจะมีการเลือกผู้ศรัทธาที่มีฐานะร่ำรวยไปขึ้นดอย แล้วทำการล้างสมอง ว่าเป็นผู้มีบารมี ไม่ต้องนั่งสมาธิสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ด้วยการ 'อัดธรรมกาย' นั่นก็คือการทำสมาธิกึ่งสะกดจิต หรือที่น่าจะเรียกว่าเป็น 'นิมิตจัดสรร' ด้วยวิธีการเรียกเข้าไปในห้องทีละคนแล้วให้นั่งสมาธิ มีการพูดให้ฟังเรื่อยๆ จะเห็นนิมิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่จริงแล้วจะมีการบอกเอาไว้ก่อนว่า ถ้าถามว่าเห็นไหมให้บอกว่าเห็น คนที่เข้าไปอัดธรรมกายก็จะรู้สึกตัวว่าเห็น ซึ่งที่สุดแล้วก็คือจะหาคนบริจาคเงินนั่นเอง" นายเสฐียรพงษ์ กล่าว ราชบัณฑิตกล่าวต่อไปว่า สิ่งที่อ้างว่าเป็นธรรมกายสายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ความจริงก็คือสมถะกรรมฐาน เป็น 1 ใน 40 วิธีของการเพ่งกสิณ ซึ่งไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ เพียงแต่ได้ญาณ เป็นบาทฐานของการวิปัสสนา แต่วัดพระธรรมกายพยายามโปรโมตให้เห็นว่าเป็นทางสู่นิพพาน ลูกศิษย์ที่พยายาม ทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการสร้างลัทธิขึ้นมา เพราะไม่ใช่หลักศาสนาเลย "ขอยืนยันว่าพระพุทธศาสนามิใช่ลัทธิ ใครกำลังเอาพระพุทธศาสนาไปเป็นลัทธิกำลัง ทำบาปแก่พระพุทธศาสนา สำหรับลักษณะของลัทธิ คือ 1. สร้างความลึกลับขึ้นมา เช่น มีความสำเร็จขึ้นสูงสุด เป็นเรื่องลับเฉพาะถ่ายทอด ให้เฉพาะบุคคลไม่ทั่วไปแก่คนทั้งปวงเหมือนสำนัก เส้าหลิน ถ่ายทอด "วิทยายุทธ์" ลับเฉพาะให้ศิษย์โปรดบางคนเท่านั้น 2. เน้นความขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นหลัก มีวิธีชักจูงคนมาให้เลื่อมใสบนพื้นฐานของ ศรัทธาต่อเจ้าสำนักและศรัทธาที่ว่าก็เป็นศรัทธาแบบความเชื่อฝังหัว หรือความเชื่อสุดตัว โดยไม่มีบทบาทของปัญญาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย" นายเสฐียรพงษ์กล่าว นายเสฐียรพงษ์ กล่าวถึงวิธีการบอกบุญของวัดพระธรรมกายด้วยว่า แนวคิดของธรรมกายคือ บุญเป็นสินค้าที่ขายได้ สะท้อนภาพว่าเจ้าอาวาสเป็นนักการตลาด ดังจะเห็นได้ว่ามีโครงการบวชธรรมทายาท ที่จะประกาศหาคนมาเป็นเจ้าภาพงานบวช มีคนสนใจมาก แต่น่าสังเกตว่าช่วงหลังๆ มีการจัดโครงการถี่ขึ้น อาจเป็นเพราะรายได้ตกก็ได้ อีกประเด็นคือการปลูกต้นกัลปพฤกษ์ 1 แสนต้นโดยรับบริจาคต้นละ 3 หมื่นบาท แลกกับการจารึกชื่อไว้ที่ต้นไม้ ชาวบ้านที่อยากได้บุญก็บริจาค จุดที่น่าสังเกตก็คือ โครงการนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่ไม่มีวันสิ้นสุดและตรวจสอบไม่ได้ เพราะใครจะมาคอยนั่งหาชื่อตัวเองบนต้นไม่ เท่ากับเป็นการหากินกับความโง่ของประชาชน "วิธีการของธรรมกายถึงขนาดว่าเมื่อมีคนถามเรื่องการทำบุญว่าหากทำบุญ 1 แสนบาท จะได้บุญเท่าไหร่ทางวัดบอกว่าบริจาคมากได้บุญมาก คนนั้นเลยไปกู้เงินมาอีก 1 แสน เพื่อนำมาทำบุญพื่อต้องการได้บุญแบบ ดับเบิ้ล ซึ่งไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา การทำบุญคือต้องไม่สร้างความเดือนร้อน แต่นี่กลายเป็นพุทธพาณิชย์ เป็นกระสือดูดเงินไปซะแล้ว" ราชบัณฑิตกล่าวในที่สุด --------------------------- หนังสือพิมพ์ ข่าวสด วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ขึ้น 13 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล