สอบมูลนิธิฉาวยันพบผิดปิดแน่!

ศึกษาธิการตั้ง 8 ประเด็นสอบธรรมกาย ทั้งธุรกิจวัด-เงินบริจาค-การถือครองที่ดิน คำสอนผิดเพี้ยนเน้นปาฏิหาริย์ เตรียมเสนอข้อมูลให้เจ้าคณะภาค 1 ปลายเดือนนี้ แต่ย้ำเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ต้องไปตัดสินโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับศาสนา "อาคม" สั่งกรมการศาสนาสอบมูลนิธิความหวังของชาวไทย พฤติกรรมเลียนแบบเป็น "ธรรมกาย 2" ลั่นถ้าผิดต้องปิดเป็นปัญหาความมั่นคงภายในประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุมีการร้องเรียนเรื่องเงินบริจาค ชู้สาว

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 22 ม.ค. ที่กรมการศาสนา มีการประชุมคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลกรณีวัดพระธรรมกายที่มีนายสุวัฒน์- เงินฉ่ำ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานโดยใช้เวลาประชุมกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่งนายสุวัฒน์เปิดเผยหลังการประชุมว่าได้มีการศึกษาข้อมูลทั้งเอกสารและคำสัมภาษณ์ที่ได้มาจากวัดและบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยตั้งประเด็นที่ต้องวิเคราะห์แนวลึกเพื่อเสนอต่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 1 และคณะสงฆ์ 8 เรื่อง
ได้แก่ เรื่องคำสอนเกี่ยวกับการนิพพาน, การประชาสัมพันธ์ของวัดเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์, การเชิญชวนผู้มาทำบุญและการขอบริจาคเงินของวัด, การครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของวัด, การรับบริจาคและการใช้จ่ายเงินของ วัด, การก่อสร้างมหาเจดีย์ที่ใช้ทุนทรัพย์สูง, การประกอบธุรกิจของวัด และรูปหล่อพระพุทธรูปประจำตัวว่ามีพุทธลักษณะถูกต้องหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีบางประเด็นที่ต้องทำความกระจ่างชัด และหาข้อมูลอ้างอิงในการพิจารณา เพราะบางเรื่องอ้างขึ้นเฉย ๆ โดยไม่มีหลักฐาน เช่น บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดไม่มีหลักฐานโยงใยเกี่ยวข้องกันอย่างไร, บัญชีค่าใช้จ่ายของวัดและหลักคำสอนตามพุทธบัญญัติ, หลักฐานที่ดิน ซึ่งประเด็น ต่าง ๆ กรมการศาสนาคงไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องให้คณะสงฆ์เข‰าไปดูแลกันเอง และในวันที่ 29 ม.ค.นี้คณะกรรมการจะสรุปข้อมูลที่ได้ และข้อเสนอ แนะที่ทางคณะสงฆ์ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองว่าเรื่องใดที่คณะกรรมการหาข้อมูลไม่ได้ โดยจะเสนอเป็นข้อมูลเบื้องต้นไปยังพระพรหมโมลีก่อน
ขณะเดียวกันสำหรับปัญหามูลนิธิความ หวังของชาวไทยที่มีพฤติกรรมคล้ายวัดพระธรรมกาย โดยเน้นให้สาวกบริจาคเงิน และไม่เคารพพ่อแม่นั้น นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการเปิดเผยว่าตนทำบันทึกถึงอธิบดีกรมการศาสนาขอให้ดำเนินการกรณีการขอจดทะเบียนมูลนิธิที่มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของมูลนิธิข้อ 4.7 เพื่อให้สามารถส่งเสริมการปฏิบัติศาสนากิจคริสเตียน รวม 3 ข้อคือ 1. ขอทราบว่าใครเป็นผู้อนุญาตให้เพิ่มวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ 2. ถ้าพบว่ามีการปลอมเอกสารหรือการลงนามแทนโดยไม่มีอำนาจขอให้หารือฝ่ายนิติกรและไปร้องทุกข์ทางอาญาตามกฎหมาย และ 3. หากกรมเห็นว่าไม่ควรอนุญาตควรดำเนินการอย่างไร เนื่องจากได้ปรากฏข้อขัดแย้งขึ้นจากองค์การศาสนาคริสต์ที่มีอยู่เดิม อาจก่อให้เกิดความมั่นคงภายในประเทศได้
นอกจากนั้นยังขอให้กรมการศาสนาพิจารณาดำเนินการกับนายสมคิด ทองสิมาและนายประยูร รักยิ้มที่เคยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้หรือไม่ รวมทั้งให้ประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ให้พิจารณาว่าการเพิ่มวัตถุประสงค์ของมูลนิธิขัดแย้งกับวัตถุประสงค์เดิมหรือไม่ หากขัดแย้งควรถอนข้อ 4.7หรือเลิกการจดทะเบียนมูลนิธิต่อไป
นายอาคมกล่าวว่ากรมการศาสนารายงานประวัติของมูลนิธิฯ ดังกล่าว และระบุว่าการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ซึ่งให้ความเห็นไปแก่ สวช. ในการเพิ่มวัตถุประสงค์ได้นั้นไม่อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง และตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมากรมการศาสนาไม่เคยให้ความเห็นชอบในการตั้งมูลนิธิเลย รวมถึงหนังสือที่ส่งไป สวช. ยังมีปัญหาการลงชื่อซ้ำซ้อนกัน ใช้หนังสือประทับตราแทนการลงชื่อ การตรวจสอบข้อเท็จจริงควรมุ่งประ เด็นความเสียหายต่อราชการอย่างร้ายแรงมากกว่า
สวช.ยังรายงานว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังให้ข้อมูลว่าในปี 2535 ผู้ปกครองนักเรียนร้องเรียนว่ามูลนิธิเป็นลัทธิที่สอนให้ลูกเกลียดพ่อแม่ ทำให้ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้จัดตั้งถอนตัวไปอยู่เบื้องหลัง พฤติการณ์ส่วนใหญ่จะขัดกับหลักศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในปี 2535 แกนนำมูลนิธิถูกร้องเรียนเรื่องการผิดประเวณี จนทำให้สมาชิกหลายคนลาออก และนักเรียน นักศึกษาที่เข้าไปจะมีปัญหาด้านการเรียน ขาดความ สนใจหรือเบื่อหน่าย เนื่องจากจัดกิจกรรมบ่อย บางช่วงใกล้สอบ แต่การสืบสวนยังไม่สามารถเอาผิดดำเนินคดีตามกฎหมายได้
ส่วนสำนักข่าวกรองแห่งชาติรายงานพฤติการณ์ของมูลนิธิว่ามีการวิจารณ์ในหมู่สมาชิกของมูลนิธิว่าแกนนำมูลนิธิมีประวัติเสียหายเรื่องเงินบริจาค มีปัญหาเรื่องชู้สาว มีการอ้างหลักการศาสนาที่ผิดจากคัมภีร์ และพยายามให้สมาชิกบริจาคเงินและทรัพย์สินครั้งละมาก ๆ
นายอุดม สุขสุวรรณ- รองอธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่าตนยังไม่ได้รับหนังสือจากนายอาคม ปกติต้องถือว่าเรื่องดังกล่าวยุติไปแล้ว เพราะมีการลงโทษเจ้าหน้าที่ 2 คน ขั้นภาคทัณฑ์ ในฐานะทำผิดไม่ปฏิบัติตามระเบียบงานสารบัญ ในส่วนความเห็นของกรมการศาสนาที่เสนอไปสวช.ถือว่าถูกต้องแล้วเพราะมูลนิธิได้ขอปรับวัตถุประสงค์มา อย่างไรก็ตามหากนายอาคมต้องการให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง ตนจะมอบหมายให้ฝ่ายนิติกรของกรมมาตรวจสอบว่าต้องดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง.