จี้สอบขุมทรัพย์วัดพระธรรมกาย

กรรมาธิการศาสนา สภา จี้ให้สอบขุมทรัพย์วัดธรรมกายตะลึงทั้งเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสถือหุ้นในบริษัทกว่า 100 แห่งล้วนเอาเครือญาติเข้ามาถือหุ้นหากินกับวัด แฉ"พระธัมมชโย"ถือสัญชาติอเมริกันเกรงถูกกดดันมากๆ อาจหนีเตลิดหอบทรัพย์สินเงินทองหนีไปกบดานอยู่สหรัฐ เหมือนพระยันตระ พระมโน-อดิศักดิ์ อดีตลูกวัดแฉซํ้ามีเงินบริจาคนับพันล้านบาท แต่ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสเอาไปทำอะไรบ้าง เสนอกรมทะเบียนการค้าระงับบริษัทลูกธรรมกายห้ามทำธุรกิจชั่วคราวจนกว่าเรื่องจะเคลียร์

กรณีที่เกี่ยวเนื่องกับวัดพระธรรมกายตามที่ "เดลินิวส์" และสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เรื่องคำสอนที่ผิดหลักศาสนา สอนให้คนยึดมั่นในวัตถุ ใครเอาเงินไปทำบุญมากก็ได้บุญมาก ทำน้อยไม่ได้ขึ้นสวรรค์และพฤติกรรมของธัมมชโยเจ้าอาวาสยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่กระจ่างชัดทั้งเรื่องการถือครองที่ดินในนามส่วนตัว เรื่องทำธุรกิจ และเรื่องที่มีสีกาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องดังกล่าวเริ่มที่จะเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ที่รัฐสภาเวลา 10.00 น. มีการประชุมคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาถึงปัญหาวัดพระธรรมกาย โดยมีนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นประธาน ทั้งนี้มีอธิบดีกรมทะเบียนการค้า รองอธิบดีกรมที่ดิน และนักวิชาการกรมศาสนา มาชี้แจงและให้ข้อมูล โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง
ภายหลังการประชุมนายอรรถสิทธิ์ ทรัพยสิทธิ์ โฆษกคณะกรรมาธิการแถลงว่า จากการชี้แจงในวันนี้ ตัวแทนจากกรมทะเบียนการค้าได้นําข้อมูลจากการจดทะเบียนทําธุรกิจบริษัท ต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีชื่อบุคคลที่เกี่ยวพันกับวัดเป็นผู้ถือหุ้นมามอบให้ โดยพบว่ามีบริษัทส่วนหนึ่งที่จดทะเบียนการค้าเอาไว้ แต่ไม่มีการดําเนินกิจการอะไรเลย เพียงแต่ซื้อที่ดินเอาไว้เท่านั้น ซึ่งกรรมาธิการจะดําเนินการสืบหาข้อเท็จจริงต่อไป ว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้างโดยได้ขอกรมทะเบียนการค้าไปรวบรวมรายชื่อ จํานวนบริษัทต่าง ๆ เหล่านี้มาให้การประชุมครั้งหน้า ซึ่งกรมทะเบียนการค้ารับที่จะไปตรวจสอบ หากพบว่ามีบริษัทใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายไม่มีการดําเนินกิจการใด ๆ ก็จะสั่งถอดล้าง ระงับการดําเนินกิจการไว้ชั่วคราวก่อน แต่คงไม่ถึงขั้นยกเลิกการจดทะเบียน เพราะเรื่องอาจกระทบกับบุคคลภายนอกอีกจํานวนมาก จะต้องมีคณะกรรมการตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่ามีหนี้สินผูกพันกับใครบ้าง
นายอรรถสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้กรรมาธิการยังได้สอบถามอธิบดีกรมที่ดินที่เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และพระผู้ใหญ่ของวัดพระธรรมการใช้ชื่อตัวเองในโฉนดที่ดินต่าง ๆ ซึ่งเรื่องนี้รองอธิบดีกรมที่ดินระบุว่าไม่มีกฎหมายใดห้ามเอาไว้ แต่กรรมาธิการเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะการใช้ชื่อตัวเองครอบครองที่ดิน โดยไม่ใส่สมณศักดิ์นําหน้าเป็นกรณีที่น่าสงสัย หากลาสิกขาบทไปแล้ว ที่ดินเหล่านี้จะต้องตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และสามารถโอนให้คนอื่นได้ หรือเขียนพินัยกรรมให้คนอื่นได้ ดังนั้นกรรมาธิการจะต้องศึกษารายละเอียดอย่างรอบครอบต่อไป ทั้งนี้ในการประชุมครั้งหน้าจะเชิญหัวหน้าตํารวจ จ.ปทุมธานี ตํารวจสันติบาล สํานักข่าวกรองแห่งชาติมาให้ข้อมูล จากนั้นก็จะ เชิญตัวแทนของวัดพระธรรมกาย รวมทั้งผู้ที่สนับสนุนวัดพระธรรมกายมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วย
นายอํานวย สุวรรณคีรี ที่ปรึกษากรรมาธิการ กล่าวว่า ข้อมูลที่ได้รับขณะนี้มีบริษัทที่มีนามสกุลเดิมของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคือ "สิทธิผล" เข้าไปเป็นกรรมการบริษัท ถึง 4 บริษัท และนามสกุลเดียวกับรองเจ้าอาวาส คือ "ผ่องสวัสดิ์" 18 บริษัท นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่นามสกุลเดียวกับสีกาอี๊ดคือ "ศรีสัตนา" ถึง 76 บริษัท หากรวมจริง ๆ จะพบว่ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายเข้าไปถือหุ้นด้วยไม่ต่ำกว่า 100 บริษัท ซึ่งเป็นการตรวจสอบเฉพาะระดับกรรมการเท่านั้น ยังไม่ได้ตรวจลึกลงไปถึงระดับผู้ถือหุ้น ซึ่งกรรมาธิการ ได้แนะนําไปว่าเรื่องนี้ที่คณะกรรมการที่กระทรวงศึกษาธิการตั้งขึ้นควรมาดูข้อมูลตรงนี้ด้วยเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว เพราะทรัพย์สมบัติของวัด เป็นของพุทธศาสนา ประเทศ ชาติ และประชาชนทั้ง 60 ล้านคน ที่กรรมาธิ การจะต้องดูแลผลประโยชน์ หากมีอะไรที่ซับซ้อน มีเงื่อนงําเราต้องสอบออกมาให้ได้
รายงานข่าวแจ้งว่านอกจากประเด็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย และการครอบครองที่ดินของพระผู้ใหญ่ของวัดแล้ว สิ่งที่กรรมาธิการให้ความสนใจเป็นพิเศษ และทราบข้อมูลเบื้องต้นจากคนใกล้ชิดพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระ ธรรมกาย คือพบว่าขณะนี้พระธัมมชโยได้สัญชาติอเมริกันแล้ว จากการเข้าไปลงทุนในสหรัฐหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งทําให้ได้สิทธิ์การเป็นพลเมืองสหรัฐ และเข้าไปอยู่ในสหรัฐได้โดยถูกกฎหมาย ซึ่งกรรมาธิการกังวลว่าหากเกิดอะไรขึ้นพระธัมมชโยจะสามารถหนีไปสหรัฐได้อย่างสบาย ๆ โดยที่ทรัพย์สินทั้งหมดก็จะตกเป็นของเขา
พระมโน เมตตานันโธ กล่าวถึงการบริหารเงินของวัดพระธรรมกายว่า ในสมัยที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสคุมเรื่องการเงินมีความพยายามเต็มที่ที่จะให้เงินต่าง ๆ ที่วัดรับมา มีความโปร่งใส ประชาชนตรวจสอบได้ แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะเจ้า อาวาสอ้างว่าเป็นนโยบายที่วัดจะไม่แถลงตัวเลขรายได้ต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากประชาชน ซึ่งตอนเเรก ๆ เงินบริจาคเข้ามาค่อนข้างชัดเจน มีพระอยู่ 4 รูปด้วยกันที่ต้องเซ็นเช็คร่วมกันประกอบด้วยหลวงพ่อธัมมชโย,หลวงพ่อทัตตชีโว,หลวงพ่ออดิศักดิ์ จะเซ็นคนเดียวไม่ได้ โดยมีพระผู้ซึ่งทำบัญชีอีกรูปหนึ่งเซ็นร่วมด้วย สำหรับรายได้ของวัดนั้นตกเดือนหนึ่งประมาณหลายสิบล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายก็มีมากมีทั้งค่าใช้จ่ายของพระสงฆ์, อุบาสกภายในวัด, ค่าบริการต่าง ๆ แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ไม่มีใครเคยทราบ ทั้งตัวเลขที่เข้ามาเท่าไรก็เช่นกัน มีเฉพาะบางคนเท่านั้น
สำหรับการบริหารงาน การจัดการของวัดทั้งหมดถอดแบบการบริหารมาจากบริษัทธุรกิจทุกอย่าง โดยมีนักธุรกิจหลายคนซึ่งมีความถนัดด้านการตลาดในเรื่องธุรกิจขายตรงเข้ามามีส่วนแนะนำ ทำให้วัดมีประสิทธิภาพด้านการบริหารงานและการเงินมาก มีตัวเลข วิธีการติดตามและการประเมิน มีการติดตามผลที่เป็นระบบที่ละเอียดมาก อย่างเช่นการเสนอให้พระมหาศิริราชธาตุ, พระคะแนนสุด ๆ, พระดูดทรัพย์ ฯลฯ นั้นก็มาจากแนวคิดของญาติธรรมนักธุรกิจนั่นเอง ซึ่งวิธีการหาเงินของวัดพระธรรมกายตอนนี้ หากจะให้เรียกว่าวัดแล้ว รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ควรที่จะเรียกว่ามันเป็นธุรกิจของพระธัมมชโย จะดีกว่าเพราะในรายละเอียดสมาชิกในวัดส่วนใหญ่ไม่มีใครทราบว่ามีอะไรบ้างแต่เพียงรู้เผิน ๆ ว่ามีธุรกิจอะไรหลายอย่างซึ่งเจ้าอาวาสเป็นคนคุมอยู่
พระมโนกล่าวว่า การบริหารธุรกิจของวัดพระธรรมกายจะเปลี่ยนไปตามค่านิยมของสังคม เมื่อใดที่สังคมเปลี่ยน วัดพระธรรมกายก็เปลี่ยนไปด้วย ยกตัวอย่างตอนนั้นไปอยู่อังกฤษแล้วกลับมาก็ตกใจว่าทำไมคนวัดนี้คิดกันแบบนี้ คือคิดว่าหากทำอะไรแล้วไม่ได้อะไรกลับคืนมา ถือว่ามันไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างต้องมีการยื่นหมูยื่นแมว มีผลตอบแทนเหมือนทำการค้า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีพระไปสอนญาติโยมจะต้องมีการบอกบุญไปด้วยเหมือนเป็นการขายบริการอย่างหนึ่ง แล้วก็ได้รับของตอบแทนในรูปของเงินบริจาค ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน เข้าวัด
ด้านพระอดิศักดิ์ วิริยสะโก กล่าวยืนยันว่า ทุกอย่างที่พระมโนพูดไปนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ในส่วนของตนเป็นเพียงรับรู้บัญชี เพราะตอนที่อยู่วัดพระธรรมกายได้รับมอบหมายให้คุมการเงิน แต่ไม่ได้เป็นผู้ทำบัญชี ฉะนั้นบัญชีที่ส่งถึงมือจึงเป็นบัญชีที่พระอีกรูปหนึ่ง สำหรับประเด็นที่เป็นข้อกล่าวหาใหญ่อีกข้อหนึ่งคือเรื่องเงินทำบุญเยอะแยะทำแล้วเอาไปไว้ที่ไหนกันนั้น ในฐานะที่เคยเป็นพระลูกวัดทำหน้าที่คล้ายกับเหรัญญิก 10 กว่าปี ขอยืนยันว่า วัดพระธรรมกายมีรายได้มากมายมหาศาลมีตัวเลขเป็นพันล้านบาท ที่น่าเชื่อว่ามีการปิดบังไม่ให้สาธุชนได้ทราบ
"สมัยที่อาตมาอยู่นั้นเงินที่เป็นเงินสดนั้นมีประมาณหนึ่งพันล้านได้ พันล้านนี้หมายความว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยจะมีเงินสด ๆ ประมาณพันล้านบาท ถ้าจะคิดดอกเบี้ยก็สามารถดูแลวัดได้อย่างดี แต่ภายหลังมีโครงการอะไรเกิดขึ้นซึ่งอาตมาไม่มีสิทธิ์เข้าไปรับรู้" พระอดิศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย.