แฉสิ้นไส้ ธัมมชโย"อวดอ้าง"

สองอดีตพระลูกวัดพระธรรมกายแฉเจ้าอาวาส ธัมมชโย อวดอ้างนั่งทางใหนเห็นตนเองเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้า แถมมีพฤติกรรมหลอกลวงญาติโยมทำตัวเป็นหมอดูจอมปลอม หลอกเอาดวงชะตาชาวบ้านไปให้ซินแสทำนายแล้วอ้างนั่งทางในเห็นอนาคตพระมโนย้ำชัดพระธัมมชโยสอนผิดเพี้ยน ยอมรับหลงทางในช่วงวัยรุ่นที่เข้าใจว่าวัดอื่นสีดำหมด ส่วนวัดพระธรรมกายคือสีขาวบริสุทธิ์ ด้านสาวกร่อนจดหมายหลั่งไหลไม่ขาดระยะ

อดีตพระลูกวัดพระธรรมกายย้ำชัด ธรรมกายไม่ใช่พุทธศาสนา เตือนญาติโยมอย่าหลงผิดนำบูตรหลานเข้าธรรมกาย เผยเบื้องหลังเจ้าอาวาสไม่สวมวาจา ชอบเกี้ยวพาราสีสาวกหญิง ผิดหลักของผู้ถือศีลด้านสาวกร่อนจดหมายหลั่งไหลไม่ขาดระยะ กรมสรรพากรเดินหน้าสอบภาษีธรรมกายแล้ว
จากการที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายในหลายแง่มุม ปรากฏว่าเมื่อเวลา17.00 น. วันที่ 5 มกราคม 2542 ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้มีการบันทึกเทปรายการไอทีวีทอร์ค เป็นการสนทนาถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยมีพระอดิศักดิ์ วิริยธกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และ พระมโน เมตฺตานนฺโท ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการพระพุทธศาสนา ในเลขาธิการใหญ่องค์การสัมมนาศาสนา และอดีตกรรมการบริหารวัดพระธรรมกาย ซึ่งถือเป็นการยอมเปิดตัวเป็นทางการครั้งแรก เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงที่เกิดเป็นข่าวขึ้นนี้ และจะยืนยันถึงกรณีที่เป็นข่าวว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ
โดยพระอดิศักดิ์ได้กล่าวถึงสาเหตุที่เป็นแรงผลักดันให้ต้องออกจากวัดว่า เริ่มต้นจากกรณีการกว้านซื้อที่ดินขยายอาณาเขตของวัด ภาพที่ประจักษ์ตามากเป็นเรื่องของการขับไล่ชาวบ้านที่อาศัยเช่าที่นาทำกิน ซึ่งการทำงานของพระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในช่วงเวลานั้นเป็นลักษณะของการใช้อารมณ์ตัดสิน และกุมอำนาจการตัดสินใจไว้โดยลำพัง จนเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับชาวบ้าน และที่สำ คัญเป็นเรื่องของการกล่าวชมสีกาก็จะใช้คำกล่าวที่มีลักษณะล่อแหลมเชิงชายหนุ่มเกี้ยวหญิงสาว ทากกว่าจะเป็นลักษณะของครูอาจารย์เมตตาลูกศิษย์ ซึ่งเป็นการได้ยินได้ฟังกับหูตนเองอยู่บ่อยครั้งมาก อาทิ วันนี้สวยจังเลยนะ แก้มยุ้ยน่าหยิก หูติ่งหูนี้สวยดีนะ
ที่น่าหนักใจอีกประการหนึ่งเป็นการอวดอ้างของเจ้าอาวาส ที่มักอ้างตนเป็นผู้วิเศษสามารถดูหมอนั่งทางในได้ชัดเจน จนมีญาติโยมมาตรวจดวงชะตากันอย่างมาก ก็จะใช่วิธีเอาวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากไว้แล้วนัดหมายให้มาฟังอีกครั้งในห้าวันสิบวัน หลังจากนั้นก็จะให้สีกาอิ๊สนำไปให้ซินแสตรวจทำนาย พร้อมกันนี้ก็ให้ลูกศิษย์ไปสืบหาข้อมูลตามที่อยู่ของโยมคนนั้น เมื่อถึงวันนัดหมายก็จะบอกโยมว่าได้นั่งทางในตรวจดูให้แล้ว แต่ความจริงไม่ได้นั่งเลย โดยเรื่องเหล่านี้เห็นและสัมผัสมากับตัวเอง
นอกจากนี้การเสนอข่าวของสื่อมวลชนที่เป็นความจริงอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของการถวายข้าวพระพุทธ เจ้า มีการกล่าวอ้างว่าเป็นการทำบุญแบบสุดๆ คือทำบุญเช่นว่านี้เพียงครั้งเดียงเท่ากับทำบุญมามากกว่าร้อยชาติพันชาติเสียอีก โดยจะนำอาหารมานั่งสมาธิถวาย แล้วให้ญาติโยมจิตนาการเอาเองว่ายืนถวายและพระพุทธองค์ยืนมือมารับข้าว แต่ในปัจจุบันนี้ทำได้ง่ายเพียงเอาเงินมาให้แล้วทางวัดจะจัดการให้เอง
ทั้งนี้เรื่องเดิมมีอยู่ว่าแม่ชีทองสุขได้ใช้ให้แม่ชีจันทร์ ขนนกยูงทำถวายพระพุทธและบอกว่าเมื่อแม่ชีทองสุขตายไป ก็ขอให้แม่ชีจันทร์ทำแบบนี้ให้ ทางวัดพระธรรมกายก็เอามาดัดแปลงเป็นการเปิดเทปแม่ชีทองสุขนำถวาย โดยผู้ที่สามารถถวายได้มีแต่เฉพาะแม่ชีจันทร์เท่านั้น ต่อมาก็ไม่มีการเปิดเทปอีกแต่อุปโลกน์ให้แม่ชีจันทร์เป็นผู้วิเศษสามารถถวายได้คนเดียว
อย่างไรก็ตามเรื่องที่น่าอนาจใจอย่างมากเป็นการอวดอ้างความเป็นหัวหน้าพระพุทธเจ้า คืออย่างนี้เมื่อเด็กหนุ่มสาวเข้ามาวัด โยมมักให้ดูที่มาของเด็กว่ามีความเป็นมาอย่างไร ก็จะบอกว่าเด็กมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตส่วนพ่อแม่มาจากสวรรค์ชั้นต่ำกว่า มีหน้าที่รับใช้เทวดาที่สูงกว่าก็คือลูกของตัวเอง แล้วเจ้าอาวาสจะถามว่าทำ ไมถึงมาเกิด เด็กก็จะบอกว่ามีคนสั่งให้มาเกิด พอตรวจมากเข้าก็พบว่าตัวเจ้าอาวาสเป็นผู้สั่งซึ่งเป็นเทวดาผู้ใหญ่ ซึ่งเทวดาผู้ใหญ่นั้นหมายความว่าพระพุทธเจ้า หากแต่ในที่สุดแล้วเทวดาผู้ใหญ่นั้นกลับกลายเป็นหัวหน้าของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ที่มีอำนาจสั่งให้ผู้มีบุญเหล่านี้มาเกิด ในขณะที่พ่อแม่ที่อุ้ท้องมานี้เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น สำหรับพระธัมมชโยคือพ่อแม่ที่แท้จริงคนเดียวหรือต้นธาตุต้นธรรม ที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์อบรมเด็กทั้งหมด
ขณะเดียวกันพระมโนกล่าวสรุปได้ว่า เข้าวัดพระธรรมกายครั้งแรกเพราะเข้าใจว่าที่นี่เป็นแหล่งของความอบอุ่น เป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่อื่นสีดำหมด ความคิดดังกล่าวไม่แตกต่างไปจากคนที่เข้าวัดธรรมกายคนอื่นๆ แต่เมื่อเข้าไปอย่างจริงจังโดยบวชที่วัดแห่งนี้ ก็ได้ทุ่มเทกำลังกายใจและกำลังความคิดให้กับวัด และสุดท้ายก็พบความจริงว่าที่นี่ไม่ใช่ของจริง โดยเฉพาะเรื่องของการอัดวิชาธรรมกาย ซึ่งเจ้าอาวาสอ้างว่าสามารถอัดให้ใครก็ได้และเอาคืนกลับมาก็ได้ เมื่อใครได้อัดธรรมกายก็เท่ากับว่าบรรลุสำเร็จวิชชาธรรมกาย หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นการผิดเพี้ยนอย่างมาก เพราะการจะสำเร็จบรรลุทางธรรมต้องเกิดจากการปฏิบัติด้วยตัวของตัวเอง ไม่ใช่ใครมาอัดใส่ให้ได้
มาถึงวันนี้สามารถกล่าวได้ว่าหากมีนักเรียนนิสิตนักศึกษา ต้องการมาปฏิบัติธรรมกับวัดพระธรรมกายก็พอจะกล่าวได้อย่างนี้ "ไปคิดให้ดีเสียก่อน เมื่อคิดว่าคิดดีแล้ว ก็ให้กลับไปคิดใหม่ เพราะที่นี่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ วิชชาธรรมกายไม่ใช่ศาสนาพุทธล้วนๆ อีกต่อไป และพุทธศาสนาก็ไม่ใช่วิชชาธรรมกาย และโลกไม่ได้มีแต่เฉพาะสีขาวกับสีดำหากแต่โลกที่แท้จริงมีมากมายหลากหลายสี"
หากผู้ดำเนินรายการถามถึง คำสอนของพระธัมมชโยถูกต้องตามหลักศาสนาหรือไม่ ขอตอบว่าเวลานี้ อาตมาไม่มีความคิดว่าเป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนา หลังจากที่ได้ศึกษาศาสนาเปรี่ยบเทียบ หลักพระพุทธศาสนา ปรัชญา และการตีความ ก็พบว่าที่รู้ที่เรียนมายังไม่ถูกต้องทั้งหมด ย้อนกลับไปแล้วคิดได้ว่าไม่น่าที่จะทำอะไรลงไปถึงเพียงนี้เลย
"เป็นเพราะหลงไปว่าวัดพระธรรมกายสอนให้รู้จักศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่วัดอื่นสอนแบบนามธรรม ตัวอย่างเรื่องของบุญนี้สามารถจับต้องได้ ขณะที่หลักสูตรการสอนนักเรียนกลับบอกไม่ได้ว่าบุญมีปริมาณเท่าไร ทำแบบสุดๆเป็นอย่างไร"
ผู้สื่อข่าวถามว่าอะไรเป็นสาเหตุเกี่ยวกับกระแสหรือสิ่งผิดปกติที่วิจารณ์กล่าวหากันอยู่ในขณะนี้ พระมโนย้ำว่า สิ่งที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อตอนซื้อที่ดินจำนวน 2500 ไร่ รอบๆ วัด และเกิดการประท้วงของชาวนาด้วยเหตุผลต้องการให้วัดสงบแต่ตอนหลังกลายเป็นการขยายที่ดินสร้างธุดงธ์สถานจาก 195 ไร่เป็น 1000 ไร่และเพิ่มเป็น 2500 ไร่ และยังกว้านซื้อไปเรื่อยๆ พระมโนบอกว่าความรู้สึกตอนนั้นวัดพระธรรมกายยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว
ด้านพระอดิศักดิ์ กล่าวว่า พบสิ่งผิดปกติหลายอย่างในช่วงที่เข้าไปบริหารมีความรู้สึกบางครั้งบางคราวการกระทำของเจ้าอาวาสเป็นไปด้วยอารมณ์ เริ่มจากเมื่อสร้างวัดเสร็จเมื่อปี 2527-2528 สภาวะเปลี่ยนไปเจ้าอาวาสเริ่มไม่อยู่วัด ลับๆ ล่อๆ ส่วนมากไปเชียงใหม่ถ้ามีงานจึงจะกลับมาสักครั้งหนึ่ง ตอนที่อยู่เชียงใหม่เจ้าอาวาสจะเอาพวกเศรษฐีทั้งหลายขึ้นไปฝึกไปปฏิบัติธรรมบนนั้น โดยเจ้าอาวาสอ้างว่าเหตุที่ต้องพาคนรวยไปเชียงใหม่ เพราะที่วัดพระธรรมกายไม่ได้บรรยากาศ ในที่นี้หมายถึงว่า ตัดออกจากความหว่วงหาอาลับของครอบครัว
นอกจากนี้บางอย่างเจ้าอาวาสก็ทำเกินเลยเช่นกล่าวชมสีกาจะใช้สำนวนกล่าวชมแบบชายหนุ่มเกี้ยวพาราสีหญิงสาวมากกว่ามากกว่าความเมตตาของครูบาอาจารย์ ซึ่งมาตมาได้ยินด้วยสองหูของตนเอง เช่น แม้วันนี้สวยจังเลยนะ วันนี้แม้แก้มยุ้ยน่าหยิกจังเลย ติ่งหูนี่สวยจัง..เป็นต้น เมื่อได้ยินอย่างนี้บ่อยๆ เข้าก็ไม่กล้าตักเตือน เพราะเจ้าอาวาสยกระดับตัวเองว่าอยู่ในระดับที่สูง และท่านก็ไม่ยอมรับฟังคำสั่งของใคร นอกจากออกคำสั่งให้ทุกคนปฏิบัติตาม และสถานการณ์ในวัดก็เริ่มสับสนวุ่นวายมากขึ้น เพราะเจ้าอาวาสเริ่มออกลายว่าเป็นพระที่อยู่เหนือธรรมชาติ เป็นผู้ที่รู้เห็นสิ่งที่เห็นสิ่งลึกลับ ๆ ซึ่งเป็นการอวดอ้างเท่านั้น ทั้งๆ ที่เรื่องปาฏิหารย์หรือไสยศาสตร์แนวนี้ เมื่อก่อนวัดพระธรรมกายไม่มีเลย
พระนโนกล่าวว่า สิ่งที่เจ้าอาวาสปฏิบัติอยู่บ่อยๆ มากก็คือ การนั่งตรวจทางในเพื่อเช็คอนาคตให้ญาติโจโยม ซึ่งก็เป็นทำนองเดียวกันกับการตรวจดูโชคชะตาราศรี ดูดวงชะตาเหมือนกับหมอดูทั่วไป แต่กรณีของเจ้าอาวาสต่างจากหมอดูตรงที่ขอเอาวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟากไปแล้ว ก็แจ้งให้ญาติโยมมารับทราบผลในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า หลังจากนั้นก็นำดวงชะตาไปให้สีกาอี้ดนำไปให้หมอดูช่วยทำนายให้พร้อมกับให้สาวกไปตรวจสอบประวัติของคนผู้นั้นกับรายละเอียดต่างๆเมื่อครบกำหนดเวลาที่นัดกันไว้โยมรายนั้นกลับมาก็จะบอกว่า "โยม หลวงพ่อน่ะได้นั่งดูให้แล้ว ตรวจดูให้แล้ว .."แต่จริงๆ แล้วไม่ได้นั่ง เรื่องนี้อาตมาสัมผัสมาด้วยตัวเองซึ่งญาตโยมที่ถูกเจ้าอาวาสหลอกตอนนั้นชื่อ คุณควงกับคุณเรณู สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่มาตมาเห็นคนเดียว
ด้านนายโกวิทย์ สุพรรณพงษ์ เจ้าหน้าที่สรรพากรจังหวัดปทุมธานีให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าในวันที่ 6 มกราคมนี้ ทางกรมสรรพากรจังหวัดปทุมธานีจะเดินทางไปตรวจสอบมูลนิธิธรรมกายถึงที่มาของสิ่งปลูกสร้างในวัดพระธรรมกายว่าเป้ฯความรับผิดชอบของรายใด เอกชนหรือมูลนิธิธรรมกาย การสร้างซื้อวัสดุก่อสร้าง มีการจัดระบบนำส่งภาษีถูกต้องหรือไม่ เพราะทางวัดจัดสร้างสิ่งปลูกสร้างคิดเป็นมูลค่านับแสนล้านบาท และจะต้องจ่ายภาษีให้รัฐจำนวนมาก แต่ที่ผ่านมากรมสรรพากรไม่ได้รับข้อมูลว่า ทางมูลนิธิของวัดจัดเฉลี่ยค่าก่อสร้างคิดเป็นปีละเท่าใด จึงทำให้คำนวณฐานภาษีไม่ได้
แม้ว่าตลอดระยะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะเดินทางไปยังวัดพระธรรมกายขอตรวจสอบบัญชีการเสียภาษีอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือพนักงานของวัดทุกคนปฏิเสธที่จะให้ข้อมุลหรือรายละเอียดใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในวันที่ 6 มกราคม นี้ตนและคณะจะเดินทางไปขอข้อมูลมาตรวจสอบอีกครั้ง และหากทางวัดยังไม่ยอมให้ความร่วมมืออีก ก็จำเป็นที่ทางกรมสรรพากรต้องอาศัยอำนาจตามกฏหมาย ที่มีอยู่เรียกให้ทางวัดนำมอบให้ สำหรับผลการตรวจสอบ หากพบวัดจ่ายภาษีไม่ถูกต้อง ก็ต้องมีการเรียกเก็บในส่วนที่ขาดหายไปให้ครบถ้วน